Restart - เริ่มอีกครั้งก็ยังรักเธอ - Restart - เริ่มอีกครั้งก็ยังรักเธอ นิยาย Restart - เริ่มอีกครั้งก็ยังรักเธอ : Dek-D.com - Writer

    Restart - เริ่มอีกครั้งก็ยังรักเธอ

    คุณเคยคิดไหมว่ารักของคุณคือรักแท้ และหากต้องเสียรักของคุณไป คุณพร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้รักของคุณกลับมาเหมือนเดิมไหม

    ผู้เข้าชมรวม

    540

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    540

    ความคิดเห็น


    13

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  ซึ้งกินใจ
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  30 ธ.ค. 52 / 10:46 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ


      เรื่องไม่คาดฝัน เชื่อว่าคือสิ่งที่หลายต่อหลายคนต้องเคยพบเจออย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งในชีวิต เพราะคนเรานั้นไม่อาจที่จะล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้ จึงมักจะพบเจอกับเรื่องไม่คาดฝันอยู่เสมอ บ้างก็เป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันได้คาดคิด หรือบางครั้งอาจจะเกิดเรื่องร้ายๆชนิดที่คาดไม่ถึงเช่นกัน

       

                      และวันนี้เองก็เป็นวันที่ฉันได้มาพบกับอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้น ในวันที่แสนจะธรรมดาเวลาที่ฉันกำลังจะกลับบ้านเหมือนปกติทุกวัน

       

      สวัสดีครับคุณ คีย์ ใช่รึเปล่าครับ ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเอ่ยปากทักชื่อฉันขึ้นมาบนสถานีรถไฟฟ้าที่ผู้คนกำลังพลุกพล่านตามสภาพหลังเลิกงานในเมืองหลวง

       

      สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือ?” ในทีแรกนั้นฉันไม่ได้เอะใจอะไร เพราะว่าตัวฉันนั้นก็ทำงานที่ต้องพบปะกับผู้คนมากมายจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีคนไม่คุ้นหน้าทักทายฉันจึงตอบไปอย่างปกติ

       

                  ตอนนั้นเองที่ฉันได้สังเกตอย่างถนัดตา เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูจากภายนอกแล้วกะอายุได้ราวๆสัก 20 ปลายๆ จนถึงสามสิบต้นๆ แต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำภูมิฐาน ไว้ผมรองทรงหน้าคมเข้มเกลี้ยงเกลาตาโตริมฝีปากเรียวบาง ฉันคิดในใจว่าเขาคงเป็นผู้บริหารของบริษัทไหนสักแห่งที่เคยติดต่อด้วยเป็นแน่แท้

       

      ขอโทษที่แนะนำตัวช้าไปหน่อยนะครับ ผม ธีรเดช ครับ เขาเดินเข้ามาใกล้และพูดแนะนำตัวอย่างสุภาพใบหน้าก็ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร

       

      ขอประทานโทษนะคะ ใช่คุณธีรเดชจาก GB กรุ๊ปรึเปล่าคะ พอดีฉันค่อนข้างขี้หลงขี้ลืม

       

      อ๋อ เปล่าหรอกครับ จริงๆ คือพวกเราพึ่งจะเคยพบกันครั้งแรกนี่ล่ะครับ เพียงแต่ผมรู้จักคุณคีย์มาค่อนข้างจะนานแล้ว

       

      อ่าค่ะ ฟังดูค่อนข้างน่าตกใจนะคะที่มีคนรู้จักฉันโดยที่ฉันไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าเป็นคนดังขนาดนั้น แล้วไม่ทราบว่าตอนนี้มีธุระอะไรเหรอคะ?”

       

      อืมม จะว่ายังไงดีล่ะอาจจะฟังดูแปลกๆสักหน่อยนะครับ ถึงตรงนี้เขาก็เงียบไปสักครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นมาเกาที่แก้มด้วยท่าทางเขินอายก่อนจะพูดประโยคที่ฉันแทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเองออกมาว่าคือช่วยมารักกับผมทีได้ไหมครับ

       

      ทันทีที่ตั้งสติได้ฉันรีบถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอย่างมาก เอ๋ นี่ล้อกันเล่นใช่ไหมคะ แบบนี้ไม่แรงไปหน่อยเหรอ

       

      ถ้าหากนึกเรื่องงานที่อยากจะพูดได้แล้วก็เชิญที่บริษัทนะคะ แต่ถ้าจะพูดเรื่องล้อเล่นไม่เป็นเรื่องแบบนี้ละก็ฉันขอตัวกลับบ้านก่อนก็แล้วกันค่ะ จากนั้นฉันก็รีบสะบัดหน้าเดินหนีออกมาด้วยความโกรธที่ถูกล้อเล่นแบบนี้

       

       

                      จนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน อาการหัวเสียนั้นก็ไม่ได้หายไปหรือแม้จะพยายามทำอะไรหลายๆ อย่างให้ลืมมัน อาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเคยพูดกับฉันแบบนี้ก็เป็นได้ ตั้งแต่สมัยเรียนฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนจนไม่มีใครกล้าเข้าหา พอจบมาไม่นานก็ได้งานที่ดีเป็นสาเหตุให้ผู้ชายไม่กล้าเข้ามาใกล้อีก

       

      ผู้ชายอะไรกัน มองภายนอกก็ดูดีอยู่หรอก แต่ดันมาพูดเล่นไม่เข้าท่าซะเลย แม้แต่ตอนจะเข้านอนฉันก็ยังไม่หยุดที่จะบ่นถึงเขา พยายามถามกับตัวเองหลายต่อหลายครั้งว่าทำไมถึงต้องเก็บมาคิดมากขนาดนั้น ก็ไม่ได้คำตอบอะไร จนกระทั่งต้องข่มตานอนกอดหมอนให้หลับไปใจฉันถึงเริ่มจะสงบลงได้ในคืนนั้น หากแต่ก่อนที่สติจะเลือนหายไปภาพของเขาก็ยังลอยผุดขึ้นมาทำไมกันนะ...ถึงจะน่าโมโหแค่ไหนก็เถอะ...แต่ทั้งการพูดจาและการแต่งตัวของเขา ก็ไม่ได้เป็นแบบที่เราเกลียดเลย...หนำซ้ำ.....

       

                      จนเมื่อรุ่งเช้ามาถึงฉันก็โยนเรื่องที่เกิดขึ้นไว้เบื้องหลังเตรียมตัวที่จะต้องเจอกับวันใหม่ ด้วยบรรยากาศที่วุ่นวายในยามเช้าที่ต้องเร่งรีบไปซะทุกอิริยาบถตามประสาของเมืองหลวงจนแทบจะไม่มีเวลาแม้แต่การนั่งทานอาหารบนโต๊ะกับครอบครัวทำให้ฉันลืมเรื่องราวเมื่อวานไปจนสนิทใจ

       

                      หลังจากเดินทางผ่านการจราจรที่แออัดตัดเข้าตัวเมืองไม่ไกลจากบ้านเท่าใดนักก็ถึงที่ทำงานตึกสูงกลางเมือง และตัวฉันทำหน้าที่เป็นเลขาประธานบริษัทแห่งนี้ ดังนั้นในทุกๆวันฉันต้องมาถึงที่ทำงานเช้ากว่าทุกคน เพื่อจัดเตรียมเอกสารและตารางนัดหมายทุกอย่างที่จำเป็นให้กับเจ้านายก่อนที่เขาจะเข้ามาถึง

       

      เอาล่ะส่วนของวันนี้ก็คงเรียบร้อยแล้วล่ะนะ ฉันพูดกับตัวเองในระหว่างที่จัดเอกสารเสร็จ พอดีกันนั้นเองกับที่ E-mail ฉบับหนึ่งถูกส่งเข้ามาหาฉัน เมื่อเปิดอ่านดูฉันถึงกับเข่าอ่อนแทบจะล้มทั้งยืน

       

                      E-mail ฉบับนี้ถูกส่งมาจากบริษัท A ซึ่งเป็นบริษัทคู่ค้าที่ฉันเป็นตัวแทนติดต่อซึ่งจะปล่อยให้หลุดไปไม่ได้เป็นอันขาด แม้จะหวังให้มันเป็นเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงตรงหน้าฉัน มันคือ E-mail ปฏิเสธการค้าที่ทางนั้นส่งมาโดยอ้างสาเหตุว่า ทางเรา ซึ่งหมายถึงฉัน ติดต่อมาช้าเกินไปทำให้เขาตัดสินใจตกลงกับบริษัทอื่นไปก่อนหน้านี้แล้ว

       

      อะไรกัน...แบบนี้ก็เท่ากับว่า... แม้นจะกังวลอยู่ลึกๆว่าเป็นความผิดพลาดของฉันเองแต่ผลกระทบต่อตัวบริษัทนั้นมากมายจนฉันไม่รู้ว่าจะแบกหน้าไปรายงานเจ้านายอย่างไรดี

       

                      จนเวลาผ่านไปถึงช่วงสายเจ้านายของฉันก็มาถึง สิ่งเดียวที่ฉันคิดได้ในตอนนั้นคือ ยอมรับผิดทุกอย่างและขอลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ฉันใช้เวลารวบรวมความกล้าข่มความกลัวเอาไว้เบื้องหลังกุมมือแน่นก่อนจะเดินเข้าไปรายงานผล

       

      ส...สวัสดีค่ะคุณทรงชัย ฉันเริ่มกล่าวทักทายก่อน

       

      สวัสดีครับ คีย์ วันนี้ก็มาเช้าเหมือนเคยเลยนะ คุณนี่ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยจริงๆ ฉันถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ปากหนักไม่กล้าพูดอะไรออกไปหลังจากถูกเอ่ยชมด้วยความคาดหวัง

       

                      มันช่างเป็นบรรยากาศที่อึดอัดจนยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้ ยิ่งถูกคาดหวังไว้มากเท่าใด ใจฉันยิ่งรู้สึกผิดยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เมื่อถึงขีดสุดที่ฉันจะทนได้ฉันจึงตั้งใจที่จะพูดออกไปให้มันสิ้นสุดลงในเวลาอันสั้นเพียงแต่ว่า ก่อนหน้านั้นเองเพียงชั่วอึดใจเสียงเคาะประตูจากข้างนอกดังขึ้นซะก่อน

       

                      พอหันไปมองตามเสียงกลับทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที เมื่อคนที่อยู่ด้านนอกนั้นคือธีรเดช ผู้ชายคนที่ฉันเจอเมื่อวานนี้สวัสดีครับคุณทรงชัย ผมวิภพจาก HB Group ที่โทรเข้ามาก่อนหน้านี้เอง พร้อมกันนั้นเขาก็เริ่มแนะนำตัวขึ้นมา แต่ชื่อที่เขาบอกกลับเป็นชื่อ วิภพ แทน

       

      โอ้ ครับ เชิญครับ และเหมือนเจ้านายของฉันจะดีใจมากที่ได้พบกับคนๆ นี้ด้วยการแสดงออกทางสีหน้าที่ยิ้มแป้นและเดินเข้าไปจับมือกันอย่างสนิทสนมยินดีที่ได้พบกันอีกนะครับคุณคีย์ ชายคนนั้นที่บัดนี้ฉันไม่รู้จะเรียกเขาด้วยชื่อใด หันมาเอ่ยทักทายโดยที่ฉันเริ่มสับสนยิ่งขึ้น

       

      ต้องขอบคุณจริงๆ นะครับที่เลือกใช้สินค้าของบริษัทเรา รับรองว่าพวกคุณจะไม่ผิดหวัง คุณทรงชัยเอ่ยขึ้น เรื่องสรรพคุณนี่เลขาของคุณเล่าให้ผมฟังหมดแล้วล่ะครับ จริงๆ ทางเราก็ถือว่าโชคดีที่ทางคุณเสนอสินค้ามาได้ถูกจังหวะเวลามากๆชายแปลกหน้าตอบพลางหันมายิ้มอย่างเป็นนัยๆ

       

                  เหนืออื่นใดในเวลานี้ยิ่งทำให้ฉันไม่เข้าใจอะไรเลยว่าทั้งสองคนพูดถึงเรื่องอะไรกัน เราพึ่งจะเจอเขาคนนั้นแค่เมื่อวานนี้ครั้งแรกไม่เคยติดต่ออะไรเลย แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ฉันได้แต่พร่ำถามตัวเองอยู่คนเดียวเท่านั้น

       

      ถ้าไม่รังเกียจไปทานมื้อกลางวันด้วยกันไหมครับ คุณวิภพ

      แหม ยินดีอย่างยิ่งเลยล่ะครับ แต่น่าเสียดายจริงๆที่ผมนัดกับเลขาคนสวยของคุณไปซะแล้วสิ ไว้เป็นมื้อหน้าก็แล้วกันนะครับพอฉันได้ยินดังนั้นแม้จะรู้สึกหวาดระแวงต่อชายคนนี้อยู่มากแต่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะสอบถามเรื่องทุกอย่างจากเขาไปด้วยจึงปล่อยตามน้ำไปโดยไม่เอ่ยแย้งขึ้นมา

       

                      จากนั้นพวกเราจึงเดินออกมาด้านนอกโดยมีเจ้านายของฉันเดินตามมาส่ง ระหว่างทางทั้งสองคนก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นด้านธุรกิจกันไป สบโอกาสคุณทรงชัยก็แอบกระซิบฉันเบาๆว่า เรื่องการดีลกับบริษัท A ให้ยกเลิกได้เลยนะก่อนที่ฝั่งนั้นจะตกลงมา จึงราวกับว่าฉันรอดพ้นวิกฤตเพราะการมาถึงของเขาคนนี้เลยก็ว่าได้

       

                      จากนั้นเราก็เดินมาขึ้นรถ Taxi สบโอกาสฉันจึงเอ่ยถามเขาขึ้นมาตรงๆกับเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านไปอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าใดนักตกลงจะให้เรียกว่า ธีรเดช รึว่า วิภพ ดีคะคุณคนแปลกหน้า

       

      ฮะๆ ธีรเดชนั่นแหละครับเขายิ้มตอบอย่างใจเย็น ส่วนข้อสงสัยอื่นๆไว้ถึงร้านอาหารเดี๋ยวผมจะตอบทุกอย่างเลยละกันนะครับ พูดจบเขาก็หันไปบอกจุดหมายกับคนขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลนักจากที่ทำงานฉัน

       

      คุณคีย์มีร้านที่อยากทานเป็นพิเศษบ้างไหมครับ

      ไม่ค่ะ รีบๆทานให้เสร็จแล้วรีบกลับดีกว่า ไม่รู้ว่าป่านนี้ปัญหาที่คุณก่อไว้จะเป็นยังไงบ้าง

                  ฉันพยายามตอบแบบรุนแรงเพื่อให้เขารับรู้ถึงความรู้สึกเบื่อหน่ายของฉันอย่างตรงไปตรงมา แต่ถึงแม้ว่าฉันจะพูดออกไปแบบนั้นเขาก็ยังคงยิ้มแล้วตอบกลับอย่างใจเย็นว่า งั้นไปร้านนึงที่ผมอยากทานมานานแล้วละกันนะครับ ก่อนจะเดินนำหน้าไป

       

                      จนไปหยุดอยู่ร้านอาหารร้านหนึ่งที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี มีเซนส์ในการเลือกร้านอาหารเหมือนกันนี่คะ เสียแต่ผิดเวลาไปหน่อยรึเปล่า ฉันยิ้มกล่าวค่อนขอดเพราะหวังจะได้เห็นสีหน้าผู้ชายคนนี้ทำท่าผิดหวังเพราะคนเต็มร้านจนไม่มีที่ให้นั่งตามประสาร้านดังในเวลากลางวันที่ฉันรู้จัก

       

                  แต่ครั้งนี้ฉันกลับต้องผิดหวังเพราะนอกจากที่เขาจะไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนกตกใจ กลับเดินตรงไปคุยอะไรบางอย่างกับพนักงานหน้าร้านก่อนจะหันกลับมาบอกฉันอย่างยิ้มแย้มว่า โต๊ะที่จองไว้ว่างพอดีเลยครับ ฉันรู้สึกเจ็บใจมากกับท่าทีของเขาแต่ยังไม่เท่ากับความแปลกใจที่นายคนนี้อ่านอนาคตออกว่าจะสามารถพาฉันออกมาได้จนถึงขนาดจองร้านอาหารไว้ล่วงหน้าเชียวหรือ

       

                      ฉันพยายามคิดถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ขึ้นต่างๆนาๆ จนในที่สุดฉันก็สรุปบางอย่างได้ แต่ยังไม่รีบร้อนที่จะเอ่ยอะไรออกไป รอนั่งโต๊ะเสร็จสรรพ ฉันยิ่งมั่นใจในสิ่งที่ฉันคิดยิ่งขึ้นด้วยคำพูดประโยคหนึ่งของเขาอย่าลืมทานยาก่อนอาหารนะครับ

       

      รู้สึกว่าจะสืบมาหมดแล้วสินะคะ เรื่องของฉัน ฉันพูดตอบไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยหากแต่แสดงออกด้วยสายตาที่อาฆาต แต่ก็เป็นเหมือนเช่นทุกๆ ครั้งก่อนหน้า เขาไม่มีท่าทีจะร้อนรนแม้แต่น้อย กลับหัวเราะออกมาพร้อมกับเอามือป้องปากไว้เพื่อไม่ให้เสียงดังจนไปถึงโต๊ะคนรอบข้าง

       

      ขอโทษจริงๆ ครับ ที่เสียมารยาท แต่การที่คุณคีย์คิดแบบนั้น ก็ไม่แปลกเพราะผมยังไม่ได้อธิบายอะไรเลยเขากลั้นหัวเราะไว้แล้วยิ้มตอบเอาล่ะ เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ ก่อนอื่นผมคงต้องเกริ่นถามสักนิดนึง คุณคีย์รู้จัก การเดินทางข้ามเวลา ไหมครับ เขาหันมาถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

       

      หมายถึงที่อยู่ในหนังแนวไซไฟ หรือการ์ตูนอะไรพวกนั้นรึเปล่าคะ ฉันตอบกลับไปด้วยท่าทีที่สนใจว่าเรื่องทั้งสองเกี่ยวข้องกันยังไง ครับ ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆเลยมันก็คือการ ที่ใครสักคนย้อนเวลามาในอดีต รึข้ามเวลาไปในอนาคต นั่นแหละที่เรียกว่าการเดินทางข้ามเวลา

       

      แล้วมันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผ่านมายังไงเหรอคะ กับเรื่องเพ้อฝันที่คุณยกขึ้นมา ฉันถามกลับไป เกี่ยวสิครับ เขารีบตอบกลับในทันทีด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและสีหน้าที่เคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยแสดงออกมาก่อนหน้านี้เลยว่า ก็เพราะว่าผมมาจากอนาคตยังไงล่ะ

                     

      เลยทำให้คุณรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันงั้นเหรอคะ ฉันรีบถามต่ออย่างไม่ทันหยุดคิดถูกต้องแล้วล่ะครับ ไม่เพียงเท่านี้ ทั้งเรื่องที่ชอบและไม่ชอบ ทั้งงานที่ถนัด ทั้งนิสัยส่วนตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ เกี่ยวกับคุณคีย์ผมรู้หมดทุกอย่าง เขาค่อยๆ เรียงร้อยอธิบายออกมาอย่างช้าๆ

       

       

       

      งั้นฉันถามหน่อย คุณมาจากอนาคตอีกกี่ปีข้างหน้าและเป็นอะไรกับฉันถึงมั่นใจว่ารู้เรื่องของฉันมากมายขนาดนี้ หลังจากที่ฉันถามจบไปอย่างสงสัยฉันก็สังเกตเห็นว่าเขาได้หยุดนิ่งไปชั่วขณะจากที่ผ่านมาเขาสามารถคิดและโต้ตอบอะไรต่างๆ ที่ฉันทำหรือพูดออกไปได้อย่างทันท่วงที แววตาของเขากลับทอประกายบางสิ่งออกมาที่คล้ายกับความหม่นหมองก่อนที่จะตอบคำถามของฉันด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มสั่นลงไปว่า

       

      นับจากเวลานี้ไปก็ อีก 17ปีครับ เขาหยุดนิ่งไปอีกครู่หนึ่งก่อนจะพูดประโยคต่อมาที่ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อว่า ผมเป็นคนรักของคุณในขณะนั้น....ไม่สิ ในระหว่างเวลานั้นพวกเราเป็นคู่รักกันมาระยะหนึ่ง

       

      คุณว่าไงนะ!” ฉันกล่าวออกมาอย่างตกใจทันทีที่ได้ยิน นับจากเวลานี้ไปอีกไม่นาน คุณกับผมจะพบและคบหากันไปอีกหลายปี ก่อนจะมีปัญหาทำให้ต้องเลิกรากันไป อีกทั้งความสัมพันธ์ของพวกเราในขณะนั้นไม่อาจที่จะฟื้นฟูเยียวยาได้อีกต่อไปผมจึงต้องย้อนเวลากลับมาเพื่อแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดนั้น

       

                  ฟังถึงตรงนี้ฉันรู้บางอย่างที่จะยากอธิบายได้ฉันจึงยกมือขึ้นมาเป็นสัญญาณบอกให้เขาหยุดก่อน จากนั้นฉันจึงพูดความรู้สึกในใจที่หลังจากได้ยินเรื่องราวต่างๆของเขาออกมา คุณนี่ เป็นคนที่ดูผิดจากภายนอกมากเลยนะคะ

       

      คิดว่าฉันจะเชื่อเรื่องแต่งไร้สาระของคุณอย่างนั้นหรือคะ?” ฉันกล่าวพลางจ้องหน้าตอบ รึแม้ว่าไอ้เรื่องงี่เง่าที่คุณแต่งขึ้นมามันจะเป็นเรื่องจริง คุณมันก็แค่ผู้ชายไร้น้ำยาที่ไม่มีปัญญาจะไปซ่อมแซมความรักที่ผุพังของตัวเองจนต้องหนีมาโกงที่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ตัวคุณในเวลานี้ นอกจากเปลือกนอกที่ดูดีแล้ว ก็เป็นได้แค่คนชอบโกหกไม่ก็คนขี้ขลาดเท่านั้นเอง ฉันพูดทิ้งท้ายด้วยอารมณ์ที่อัดอั้นในใจก่อนจะลุกออกมาโดยไม่หันกลับมามอง

       

      ถึงอย่างนั้นใจฉันก็ยังกังวลอยู่ไม่น้อย พูดไปซะแรงเขาจะเป็นอะไรไหมนะ อย่างน้อยเขาก็ช่วยเราเรื่องงานตั้งเยอะ ส่วนหนึ่งก็โกรธเพราะเหมือนถูกล้อเล่น แต่อีกส่วนก็รู้สึกอินไปกับเรื่องราวนั้นจนอดที่จะเจ็บแค้นแทนไม่ได้ จากนั้นฉันพยายามคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพื่อให้ลืมเรื่องนั้นไปซะ รู้ตัวอีกทีก็กลับมานั่งอยู่ที่ทำงานซะแล้ว

       

      กริ๊ง กริ๊งง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากเลยพักเที่ยงไปไม่นานสวัสดีค่ะ SN company ค่ะ ฉันรับสายและกล่าวตอบไปตามปรกติ สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นเลขาคุณ วิภพ จาก HB Group นะคะ พอดีทางเรากำลังต้องการสินค้าหลายรายการจากทางคุณเป็นการด่วน ไม่ทราบว่าจะต้องติดต่อไปที่ใครคะ

       

                      ฉันรู้สึกสับสนมากเพราะนี่แสดงว่าเรื่องที่นาย ธีรเดชมาติดต่อเรื่องธุรกิจเมื่อเช้าก็กลับกลายเป็นเรื่องจริงไปซะแล้ว ติดต่อที่ดิฉันได้เลยค่ะ รึถ้ายังไงก็แจ้งรายละเอียดผ่านทาง Fax หรือ E-mail ก็ได้ค่ะแล้วดิฉันจะติดต่อกลับไปให้ไวที่สุด

                      อย่างไรเสียฉันก็ทราบดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาสับสนจึงตั้งสมาธิให้อยู่กับงาน เพราะอย่างน้อยจะได้ชดเชยข้อผิดพลาดเรื่องบริษัท A ลงได้ และไม่นานนักฉันก็สามารถติดต่อขั้นต้นกับ HB Group ได้อย่างง่ายดายหลังจากได้รับรายการสินค้าที่ทางนั้นต้องการแล้วฉันจึงโทรไปรายงานคุณ ทรงชัยให้ทราบและเขาก็ดีใจอย่างมากที่ได้ยินข่าวนี้

       

       

       

      เช็ครายการสินค้าที่ทางนั้นส่งมาแล้วเทียบกับสินค้าในคลังของเรา จากนั้นทำ รีพอร์ท ส่งมาให้ผมทีนะคีย์ คงจะเหนื่อยสักหน่อยแต่ครั้งนี้ถือว่าเป็นผลงานของคุณ ไว้ผมจะเพิ่มวันพักร้อนกับโบนัสให้นะ ที่เหลือผมฝากด้วยล่ะ

       

                      กำลังใจในการทำงานของฉันเต็มขึ้นมาจนล้นปรี่ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ใช่ว่าเพราะรางวัลที่จะได้รับแต่เป็นเพราะฉันสามารถสร้างประโยชน์ให้กับบริษัทและทำสิ่งต่างๆได้ดีตามที่มีคนคาดหวังไว้ ฉันจึงตั้งใจที่จะทุ่มเทให้กับรีพอร์ทนี้อย่างสุดความสามารถ

       

                      และในขณะที่ฉันกำลังจะเริ่มต้นลงมือทำ โทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้น แต่เบอร์ที่โทรเข้านั้นฉันกลับไม่คุ้นและไม่เคยบันทึกชื่อเลย แต่ฉันก็รับสายเพราะเกรงจะเป็นลูกค้าติดต่อมา ฮาโหล สวัสดีค่ะ

       

      สวัสดีตอนบ่ายครับคุณคีย์ ปลายทางตอบกลับมาอย่างสุภาพ ซึ่งฉันจำน้ำเสียงนี้ได้เป็นอย่างดีแม้จะพึ่งเคยพบกันไม่กี่ครั้ง ธีรเดช

       

      ทราบเบอร์นี้ได้ยังไงคะ ฉันถามกลับไปอย่างเรียบๆ แม้ในใจจะอยากพูดแรงๆ เพราะคิดว่าเขาคงจ้างนักสืบมาสืบเรื่องส่วนตัวของฉันหมดแล้ว แต่ที่ไม่ทำเช่นนั้นคงเพราะลึกๆ แล้วฉันอาจจะรู้สึกผิดต่อเขาอยู่ที่พูดอะไรรุนแรงก่อนหน้านั้นไป

       

      เรื่องนั้นบอกไปอาจจะเข้าใจยาก เอาเป็นว่ามาคุยเรื่องงานกันดีกว่าไหมครับ เขาพยายามตอบเลี่ยงไป แม้จะคุยกันทางโทรศัพท์แต่ฉันก็ยังเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังยิ้มขณะที่คุยโทรศัพท์ไปราวกับลอยมาอยู่ตรงหน้างานอะไรเหรอคะ?”

       

      ลองเช็ค E-mail ดูแล้วกันครับ คาดว่าคงมีประโยชน์บ้าง เขากล่าวทิ้งท้ายสั้นๆก่อนจะวางหูไป หลังจากนั้นฉันก็รีบเปิดเข้าไปเช็ค ด้วยความสงสัยและฉันก็ได้พบกับ ‘E-mail’ ลึกลับฉบับหนึ่ง แต่ครั้งนี้ฉันก็พอจะเดาได้แล้วว่ามันถูกส่งมาจากใคร พอเปิดอ่านเนื้อหาภายในนั้นเขียนไว้ว่า

       

      คาดว่าตอนนี้คุณคีย์คงได้รับคำสั่งซื้อจากทาง HB แล้วกำลังวุ่นอยู่กับการเริ่มทำ รีพอร์ท สินะครับหวังว่าข้อมูลที่แนบมานี้จะแบ่งเบางานของคุณคีย์ได้บ้างนะครับ จาก ธีรเดช

                     

                      เบื้องต้นฉันยังไม่รู้สึกอะไรกับข้อความนี้เท่าไหร่เพราะมันค่อนข้างจะรวบรัด และฉันก็ยังคิดไม่ออกว่าเขาจะช่วยอะไรเรื่อง รีพอร์ท ของฉันได้ จนกระทั่งฉัน ดาวน์โหลด ข้อมูลที่เขาแนบมานั้นเองทำให้ฉันตกใจจนถึงขั้นลุกขึ้นยืนทุบโต๊ะอย่างแรงเพราะนั่นคือ รีพอร์ท ตัวที่ฉันกำลังจะเริ่มทำ แต่นี่กลับเป็นตัวสมบูรณ์ที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว

       

                      ภายในนั้นเขียนระบุไว้ถึงราคาสินค้า ณ เวลาปัจจุบัน ส่วนขาดในคลังของบริษัทฉันรวมไปถึงวันส่งมอบสินค้าและราคารวม ทุกๆส่วนอย่างสมบูรณ์ ฉันพยายามไล่เช็คหาข้อผิดพลาดแต่ก็ไม่พบเลยแม้แต่จุดเดียว

       

      ก็ไม่รู้หรอกนะว่าใช้วิธีไหนถึงทำได้ขนาดนี้ แต่ยังไงก็สบายล่ะงานนี้ถึงแม้จะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่อาจจะเพราความชินชาที่เจอมาทั้งวันทำให้ฉันเลือกที่จะเลิกหาคำตอบของมันและยอมรับของชิ้นนี้ไปอย่างเต็มใจ

       

       

                  ด้วยเหตุนี้เองงานของฉันจึงเสร็จสิ้นลงโดยที่ไม่มีใครรู้ถึงเบื้องลึก ได้แต่ตะลึงพรึงเพริดไปตามๆกัน ไม่เพียงเท่านั้นฉันยังได้รับคำชมอีกมากมายจากเจ้านายของฉันอีกด้วย และวันที่แสนสับสนแล้วงวยงงของฉันก็จบลงเพียงเท่านี้แม้จะยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจในหลายๆ สิ่งกับผู้ชายคนนั้น แต่ลึกๆ แล้วในเวลานี้ฉันก็รู้สึกขอบคุณเขาไม่น้อย

       

                      รุ่งขึ้นในวันต่อมา วันอาทิตย์ วันที่ฉันต้องตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อจะต้องไปโบสถ์ ระหว่างการเดินทางฉันพยายามเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลาเพื่อดูว่าจะเจอเขาคนนั้นไหม และก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่เจอ นึกว่าจะโผล่ทุกที่เป็นเงาตามตัวซะอีก ฉันบ่นกับตัวเองออกไปแบบนั้น

       

                      จากนั้นไม่นานนักฉันก็เดินทางมาถึงอย่างแรกที่ฉันทำ คือการมองหามิ้ว เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนในระหว่างที่ฉันกำลังเหลียวซ้ายแลขวาอยู่นั่นเอง ก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาเอามือจี้ที่เอวจนฉันตกใจรีบหันไปค้อนเตรียมจะตวาดสวนคนที่ทำแบบนี้ พอฉันหันมาดูก็พบกับ

       

                      มิ้ว เพื่อนสนิทตัวดีที่ฉันกำลังมองหา ยังบ้าจี้ไม่เปลี่ยนไปเลยนะแก มิ้วเป็นสาวมั่นที่เนี้ยบไปตั้งแต่ ผมที่ยืดตรงทุกเส้น ริมฝีปากเรียวแหลมที่จะมีสีแดงสดทาอยู่เสมอ ใบหน้าก็ขาวนวลเหมือนปุยนุ่น ดวงตาสดใสกลมโตนัยน์ตาสีฟ้าและจมูกโด่งตามประสาลูกครึ่ง อีกทั้งยังมีดีกรีจบปริญญาเอก มีงานการเป็นถึงเจ้าหน้าที่วิจัยตลาดหลักทรัพย์

       

      ก็ยังดีกว่าชอบเล่นเป็นเด็กๆแบบแกล่ะย่ะ ฉันกล่าวตอบไปพลางหยิกคืน

      ก็ฉันยังเด็กอยู่จริงๆนี่นา

      จ้า แม่คุณสาวเสมอ อย่าไปเผลอโชว์บัตรประชาชนให้ใครเห็นก็แล้วกัน

      เดี๋ยวเขาจะเห็นคำว่า นาย บนบัตรใช่ไหมล่ะ

      ฮ่า ฮ่า เราทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างอย่างหอมปากหอมคอ ก่อนจะชวนกันเดินเข้าไปด้านในเพราะใกล้จะถึงเวลาเริ่มพิธีแล้ว ระหว่างที่เดินไปเราก็พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องที่เจอมาทั้งอาทิตย์ให้กันและกันฟัง โดยเริ่มจากมิ้วเป็นคนเล่าก่อน

       

      นี่ยัยคีย์ ฉันเจอคนที่ใช่แล้วล่ะ

      แหม ครั้งที่ 3 ในรอบเดือนแล้วนะ คราวนี้ใครอีกล่ะ

      ครั้งนี้สุดท้ายแล้วล่ะ ต้องเป็นคนที่ใช่แน่ๆ

      ให้มันจริงเถอะแม่คุณ ว่าแต่เจอกันที่ไหนล่ะ

      ใน internet ล่ะ

      หา!” ฉันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสูงอย่างตกใจก่อนจะเอ่ยถามต่อ แล้วไว้ใจได้เหรอ เคยเห็นหน้ารึเปล่า ของแบบนี้มันต้องดูกันไปนานๆไม่ใช่เหรอ

       

      แหม ยัยคนหัวโบราณ ของแบบนี้น่ะนะแค่คุยกันถูกคอแล้วดูๆ กันไปก่อน ถ้าเห็นว่าใช่ค่อยนัดพบและทำความรู้จักกันก็ได้ หรือถ้าไม่ใช่ก็เลิกติดต่อกัน ก็แค่นั้นแหละ

       

      งั้นก็ดีไป ฉันก็นึกว่าแกไปหลงเขาซะแล้ว ฉันพูดพลางถอนหายใจมือกุมอกไว้อย่างคลายกังวล

      แล้วแกล่ะเมื่อไหร่จะมีเป็นตัวเป็นตนกับเขาบ้างซะที มิ้วย้อนถามฉันกลับมาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนฉันไม่รู้ว่าจะตอบไปยังไง แต่ระหว่างนั้นเองฉันก็เหลือบไปเห็นคนๆนึงนั่งอยู่ใกล้ๆที่นั่งประจำของฉัน ซึ่งเขาเป็นคนที่ฉันรู้จักและระแวงที่จะได้เจอมาตลอดทาง ธีรเดช นั่นเอง

       

      ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี่ได้…” ฉันถึงกับอึ้งกล่าวขึ้นมากับตัวเองจนไม่ได้สนใจกับคำถามของมิ้วเลย

       

      หมายถึงใครมาอยู่ตรงไหนเหรอคีย์ มิ้วเอ่ยถามอย่างสงสัยก่อนจะหันไปมองตามสายตาฉันที่เบิกค้างอยู่ เอ๋ ผู้ชายคนนั้นใครกันน่ะ หล่อใช้ได้เลยนี่นา คนรู้จักเหรอคีย์

       

      จะว่ารู้จักก็ใช่ล่ะนะ... ฉันตอบมิ้วไปอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเอ่ยต่อ วันนี้พวกเราย้ายที่นั่งกันไหม

      ทำไมล่ะ เพื่อนเธอก็นั่งอยู่ใกล้ๆที่ประจำเราไม่ใช่เหรอ มิ้วถามอย่างสงสัยแล้วค่อยยิ้มอย่างทะเล้นแล้วเอ่ยต่ออย่าบอกนะว่า กลัวฉันแย่งไปเลยหวงเก็บไว้น่ะ

      บ้า ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย ฉันรีบเอ่ยแย้งทันที

      งั้นทำไมล่ะลองบอกเหตุผลมาสิ

      จริงๆ แล้วคนๆ นั้นน่ะ เขาเป็นโรคจิต

      หา!!” มิ้วอุทานเสียงดังลั่นไม่จริงน่า ภายนอกก็ออกจะดูดี

      จริงๆ นะ เมื่อวานนี้เขาตามฉันทั้งวันไม่ว่าฉันจะไปไหนเขาก็จะโผล่ที่นั่น ฉันพยายามเกลี้ยกล่อมให้มิ้วเชื่อ

      น่ากลัวนะแบบนี้ ไม่นึกเลยคนหน้าตาดีแบบนี้จะเป็นโรคจิตไปซะได้ มิ้วกล่าวพลางถอดถอนหายใจ

      เชื่อฉันเถอะนะ วันนี้ย้ายที่นั่งกันสักวัน

       

                  มิ้วหยุดคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งหลังจากที่ฉันเอ่ยประโยคสุดท้ายออกไปก่อนที่เธอจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วหันมาบอกกับฉันว่า การหนีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหานะคีย์ พวกแบบนี้ต้องตอกหน้าให้หงายไปเลยจะได้ไม่กล้ามายุ่งกับเธออีก

       

      แต่ฉันก็พูดว่าแรงๆกับเขาไปเยอะแล้วนะ แต่ก็นั่นแหละวันนี้เขาก็ยังตามมาที่นี่อีก ฉันพยายามเอ่ยแย้ง

      เอางี้ เดี๋ยวฉันจะไปจัดการให้เอง พวกตามตื้อไม่เลิกแบบนี้ต้องเจอฉันนี่ พูดจบมิ้วก็จูงมือฉันเดินตรงเข้าไปหาเขาคนนั้นอย่างไม่รอช้าก่อนจะหยุดมายืนอยู่ที่ตรงหน้าแล้วค่อยจัดแจงยืนกอดอกปั้นหน้าเข้มเตรียมที่จะตวาดไล่ชายคนนั้นตามที่คิดไว้ แต่ก่อนนั้นเองฝ่ายนาย ธีรเดชก็พูดอะไรบางอย่างขึ้นมาว่า

       

      โอ๊ะ กลิ่นหอมโดดเด่นชวนให้หลงใหลดั่งถูกมนต์สะกดแบบนี้ Hypnose สินะครับ นายธีรเดชกล่าวพลางหันหน้ามาทางมิ้วก่อนยิ้มและโค้งหัวทักทาย

      เอ๊ะนี่....ทำไมถึงรู้ล่ะ มิ้วถึงกับตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินจนกล่าวถามออกไปอย่างไม่รู้ตัวพลางหันมากระซิบถามฉันอย่างเป็นกังวลว่า วันนี้ฉันใส่น้ำหอมมากเกินไปเหรอแก

      ไม่นี่ ก็ปกติไม่มากไม่น้อยเกินไป ฉันกระซิบตอบไปตามที่คิด ระหว่างนั้นเองนายธีรเดชก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มและกล่าวทักทายมิ้วอย่างสุภาพสวัสดีครับ ผมธีรเดชครับ คุณผู้หญิงคนนี้คงเป็นเพื่อนคุณคีย์สินะครับ

       

                      เมื่อแผนที่วางไว้ไม่เป็นไปอย่างที่คิดซ้ำยังถูกตอบกลับมาอย่างไม่คาดคิด สิ่งเดียวที่มิ้วโต้ตอบออกไปได้ก็คือการกล่าวทักทายตอบกลับไปสะ...สวัสดีค่ะ ฉันมิ้วเพื่อนของคีย์ค่ะ

       

      ต้องขอโทษที่เมื่อกี้เสียมารยาทไปด้วยนะครับ พอดีผมเคยคลุกคลีอยู่วงการน้ำหอมอยู่ระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่ค่อยจะเจอใครที่มีเซนส์ในการเลือกได้เหมาะกับบุคลิกภาพตัวเองแบบคุณมิ้วเลย ก็เลยเผลอพูดออกไปไม่ทันระวังตัว

       

                      ได้ยินเท่านั้นเพื่อนคนเก่งของฉันก็ถึงกับเตลิดสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยทีเดียว เพราะมิ้วเป็นคนที่ชอบสะสมน้ำหอมมากแต่ก็มีน้อยคนที่จะสามารถคุยเรื่องนี้กับเธอได้อย่างถูกคอ และยิ่งถูกชมซึ่งๆหน้าแบบนี้จึงแทบไม่เหลือมาดดุที่เตรียมมาเลยทีเดียว

       

      อะ...เอ๊ะ นี่คุณธีรเดชเคยอยู่วงการนี้ด้วยเหรอคะ มิ้วถามออกไปอย่างใจลอย

      ฮะๆ พูดแล้วก็อายตัวเอง ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่จริงๆผมก็เป็นเพียงเอเยนต์ขายสินค้าเท่านั้นเองล่ะครับ

       

                  ฉันมองดูทั้งสองคนคุยกันอย่างเบื่อหน่ายเพราะรู้สึกทุกอย่างมันไม่เป็นไปอย่างที่คิด แถมที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของฉันก็กำลังแปรพรรคไปคุยกับนายตัวปัญหานั่นอย่างสนิทสนม

       

      จริงสิ นายธีรเดชเอ่ยขึ้นมาราวกับพึ่งนึกอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะสอดมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเสื้อสูทหยิบขวดแก้วขนาดเล็กเท้าหัวแม่โป้งที่ภายในบรรจุของเหลวสีใสเอาไว้ภายใน นี่เป็นสินค้าตัวใหม่ของ Christian Dior ที่ยังไม่เปิดจำหน่ายชื่อ ‘Dior Addict 2 หากไม่รังเกียจ เชิญคุณมิ้วรับไปทดลองใช้ได้เลยครับ

       

                      ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าเพื่อนสนิทคนเก่งที่ขนาดผู้ชายพากันหวั่นเกรงในความสามารถรอบด้านบัดนี้กำลังยืนอึ้งตาค้างอุทาน หา!”เสียงดังลั่นจนต้องยกมือมาป้องปากที่กำลังเปิดอ้าด้วยความดีใจจนฉันสัมผัสได้อย่างชัดเจน

       

      พะ...พูดจริงเหรอคะ ของสำคัญแบบนี้เอามาให้ฉันจะดีเหรอคะ... มิ้วถามอย่างตื่นเต้น แววตาทอประกายราวกับเด็กๆที่ถูกเอาขนมมาล่อ

       

      ต้องดีสิครับ ธีรเดชยิ้มตอบอย่างยินดี ผมคิดว่าหากน้ำหอมขวดนี้สามารถพูดได้ละก็ เขาต้องบอกว่า ขอให้ผมได้อยู่กับสาวสวยคนนี้ที่รู้คุณค่าของผมด้วยเถอะคร้าบบ แน่ๆ เลยล่ะครับ ไม่เพียงแต่พูดเปล่าเขาค่อยๆ เอื้อมมือมาจับมือของมิ้วไว้อย่างนุ่มนวล ก่อนที่จะวางเจ้าขวดน้ำหอมนั้นลงบนฝ่ามือของมิ้วช้าๆ....โดยที่สีหน้าของเขายังคงยิ้มอย่างละไมตลอดเวลา

       

                      ทันใดนั้นเองใบหน้าของมิ้วก็ค่อยๆ แดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดลมหายใจก็หอบถี่ขึ้นๆ มือกุมขวดน้ำหอมไว้แน่นก่อนจะพูดเสียงค่อยออกมาด้วยปากที่สั่นเล็กๆ ว่า ขะ...ขอบคุณค่ะ... แล้วค่อยๆก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างอายๆ ก่อนจะหันมาดึงมือฉันวิ่งออกไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวแล้วกล่าวทิ้งท้ายไว้สั้นๆว่า งั้นฉันขอไปทดลองใช้ดูเลยละกันนะคะ

       

                  มิ้วลากฉันวิ่งออกมาอย่างไม่คิดที่จะสงวนท่าทีจนถึงด้านนอกโบสถ์เธอก็หยุดวิ่งแล้วหันมาสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วปล่อย กรี๊ด แบบกลั้นเสียงออกมาในขณะที่เท้าก็ย่ำพื้นอยู่กับที่อย่างไม่สนใจคนรอบข้างที่เดินไปมา

       

      อะไรกันเนี่ยยยย ยัยคีย์ ผู้ชายคนนั้น มิ้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสูงอย่างตกตะลึง

       ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนแบบนี้จะมีอยู่บนโลกนี้ด้วย

      ใช่ ฉันก็ว่างั้นล่ะ ผู้ชายบ้าๆ แบบนี้ก็มีด้วย พึ่งเคยเจอกันครั้งแรกก็มาทำตีสนิท แย่จริงๆ ฉันกล่าวสมทบ

      ใช่ที่ไหนกันล่ะยัยคีย์ มิ้วรีบแย้งสวนขึ้นมาทันที

      ที่ฉันหมายถึงน่ะ คือฉันไม่เคยเจอใครที่เพียบพร้อมขนาดนี้มาก่อนเลยมิ้วกล่าวต่อ

      หา!” ฉันอุทานอย่างสงสัย

       ตาคนนี้เนี่ยนะเหรอ เพียบพร้อม

       

                  ฉันถามออกไปเพราะคิดอย่างนั้นจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นๆจะมองเขาด้วยสายตายังไงแต่สำหรับตัวฉันที่ถูกขอให้มาเป็นแฟนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบและได้ยินเรื่องเล่าเมื่อวานนี้แล้ว ฉันไม่อาจจะสรุปได้จริงๆ ว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่ และมีเหตุผลอะไรที่ต้องคอยตามฉันแบบนี้

       

      ฟังฉันอยู่รึเปล่าคีย์ มิ้วเขย่าตัวเรียกฉันที่กำลังเหม่อคิดถึงเรื่องต่างๆ ของเขาคนนั้น

      อะ ขอโทษทีไม่ทันได้ฟังเมื่อกี้ว่าไงนะ

      ฉันถามว่า เธอกับคุณธีรเดชไม่ได้เป็นอะไรกันแน่ๆ ใช่ไหม มิ้วยื่นหน้ามาถามฉันด้วยสีหน้าจริงจังตาจ้องตาฉันเขม็ง

      ถะ...ถามอะไรน่ะมิ้ว ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉันตอบพลางหันหน้าหลบไปทางด้านข้างอย่างไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น

      เอาเถอะ ถือว่าฉันให้โอกาสเธอไปแล้วนะ มิ้วถอยกลับไปแล้วยิ้มอย่างมาดมั่นราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้พร้อมกับเอ่ยคำพูดต่อมาว่า ถ้าเธอไม่ได้เป็นอะไรกับเขาคนนั้นจริงๆ งั้นผู้ชายคนนี้ฉันขอนะ

       

                      วาบแรกที่ได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากของมิ้วฉันรับรู้ได้ทันทีว่าเธอไม่ได้พูดเล่น เพราะแววตาของเธอทอประกายมุ่งมั่นที่บ่งบอกถึงความตั้งใจที่เห็นได้บ่อยครั้งในเวลาทำงานเธอมักจะมีแววตาแบบนี้เสมอ เมื่อจ้องมองไปที่ดวงตาคู่นั้นของเธอทำให้ใจฉันรู้สึกอะไรบางอย่างที่ในเวลานี้ฉันไม่สามารถอธิบายได้เลยว่ามันคืออะไร

       

      ขอ นี่หมายความว่าไงเหรอมิ้ว แล้วคนที่เธอบอกว่าใช่แล้วนั่นล่ะ ฉันฝืนตอบไปทั้งอย่างนั้น

       

      นี่ คีย์เธอบ้าหรือเปล่า มิ้วตอบกลับมาอย่างทันควัน แต่ครั้งนี้น้ำเสียงและแววตาของเธอกลับได้เหมือนก่อนนี้ไม่ คนดีๆมายืนอยู่ตรงหน้าแบบนี้ ไม่คว้าเอาไว้แล้วจะให้ไปหาใครที่ไหนอีกล่ะ

       

                      ใจฉันยิ่งรู้สึกแปลกยิ่งขึ้นคล้ายถูกใครเอาเข็มมาทิ่มแทงหลังจากที่ได้ฟังคำพูดนี้จากปากของเพื่อนรักเพื่อนสนิทคนนี้ไม่ใช่เพราะโกรธเคือง แต่เป็นความขุ่นข้องใจที่ไม่อาจจะหาคำตอบได้ จนท้ายที่สุดฉันจึงเลือกที่จะทิ้งมันไป

       

      กะ...ก็ตามใจเธอสิ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับหมอนั่นนี่นา แต่...เธอก็ระวังไว้บ้างล่ะ พึ่งรู้จักเขาไม่นานเอง

      จ้า ขอบคุณนะที่เป็นห่วง แม่เพื่อนรัก มิ้วยิ้มตอบอย่างสมใจมือก็เปิดขวดน้ำหอมที่ได้รับมาลองดมดูเบาๆ ก่อนจะลองใช้มือแตะเพียงเล็กน้อยออกมาทาบนหลังใบหู งั้นพวกเรากลับเข้าไปกันเถอะ

       

      ฉัน...รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยน่ะมิ้ว

      เอ้า อยู่ๆเป็นอะไรขึ้นมาล่ะเมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลยนี่นา

      จู่ๆ มันก็หน้ามืดขึ้นมา ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า

      ไหวไหมแก ฉันไปส่งดีกว่าไหม

      ไม่ต้องหรอก ไม่ได้เป็นอะไรมาก คิดว่ากลับไปนอนพักสักหน่อยคงดีขึ้น

      งั้นก็เอาตามแกว่าละกัน ให้ดีอย่าประมาทไปหาตรวจไว้แต่เนิ่นๆ ก็ดีนะ

      จ้า เธอก็ไปกันให้ดีนะ ฉันไปละ

       

                      ฉันหันหลังเดินออกมาหลังจากล่ำลามิ้วเสร็จ จากนั้นฉันพยายามใช้เวลาถามตัวเองว่านี่ฉันเป็นอะไรกันนะ ทำไมฉันต้องโกหกออกไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตัวฉันก็ไม่ได้เป็นอะไร แต่พอได้ยินคำพูดประโยคนั้นของมิ้วแล้วฉันรู้สึกเจ็บที่ใจขึ้นมาจนทนสู้หน้าเขาไม่ได้

       

                      แม้ฉันจะพยายามครุ่นคิดหาคำตอบสักเท่าไรสิ่งที่ได้กลับว่างเปล่า จนฉันรู้สึกเหนื่อยไปกับมันและคิดที่จะกลับไปพักผ่อนเพื่อที่จะเลิกคิดเพื่อที่จะลืมมันซะ ระหว่างที่ฉันกำลังเลือกว่าจะกลับยังไงนั้นฉันได้เหลือบไปเห็นเงาของใครบางคนสะท้อนมาจากกระจกตรงป้ายรถเมล์

       

                      ซึ่งก็คือเขา ธีรเดช ที่กำลังวิ่งมาทางฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทันใดนั้นเองฉันก็รู้สึกได้ถึงเสียงที่ดังก้องออกมาจากใจของฉันว่าให้รีบหนีไปให้ไวที่สุด ไม่อยากที่จะเจอหน้า ไม่อยากที่จะได้ยินเสียงหรือพูดคุยกับเขาคนนี้อีกเพราะหาไม่แล้วฉันคงทนไม่ได้ที่จะต่อว่าเขาไปแรงๆ เพื่อให้เขาถอยกลับไป

       

                      ทันทีที่คิดได้ดังนั้นขาฉันก็พลันก้าวออกไปรีบขึ้นรถแท็กซี่คันที่จอดใกล้ที่สุดเท่าที่ฉันจะสามารถวิ่งไปได้ จากนั้นจึงรีบบอกจุดหมายปลายทางให้กับคนขับทราบพร้อมกับกำชับอย่างร้อนรน รีบออกรถทันที ทันทีที่รถเริ่มแล่นไปใจฉันก็รู้สึกโล่งขึ้นมาบ้าง

       

                      อย่างน้อยวันนี้ก็คงไม่ต้องเจอกันแล้วล่ะนะ ฉันรำพันกับตัวเองในใจแม้จะวิตกกังวลว่าเขาคงจะรู้บ้านของฉัน แต่อีกฟากนึงของหัวใจก็กลับเชื่อมั่นว่าเขาคงไม่ทำแบบนั้น ระหว่างที่ฉันยังคงคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียว ทันใดนั้นเองจู่ๆ ก็เกิดเสียง โครม ดังสนั่นพร้อมกับความเจ็บปวดมากมายที่ประดังเข้ามาอย่างรุนแรงก่อนที่ฉันจะสิ้นสติไป

       

                      ฉันไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ไม่มีโอกาสแม้จะออกปากร้องสิ่งเดียวที่ฉันรับรู้ได้ในเวลานี้คือ รอบข้างที่มืดสนิทเวิ้งว้าง ไร้เสียงไร้ผู้คน ความมืดที่หนักอึ้งจนไม่สามารถจกยกแขนหรือส่งเสียงเรียกหาผู้ใดได้ เป็นความรู้สึกที่แสนทรมานจนสุดจะหยั่ง จนถึงขีดสุดของความอดกลั้นฉันใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามเปล่งเสียงออกมาสุดชีวิต

       

                      จนในที่สุดฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้น ซึ่งนั่นทำให้ฉันโล่งอกที่เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ทันใดนั้นเองฉันก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับตัวเองอย่างแรก ก็คือบนหน้าของฉันอะไรบางอย่างลักษณะคล้ายกับผ้าผืนเล็กๆ พันรอบศีรษะทับดวงตาทั้งสองของฉันเอาไว้

       

                      เมื่อฉันพยายามแกะมันออกแล้วลืมตาขึ้นกลับพบว่า....ดวงตาทั้งสองของฉัน....ไม่สามารถมองอะไรได้เลย ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่ความมืด และความเจ็บปวดที่ถาโถมผ่านดวงตาสองข้างเข้ามาพร้อมกับความหวาดกลัวจนถึงขีดสุดจนระเบิดออกมาเป็นเสียงกรี๊ด ที่ดังลั่น

       

                      ทันใดนั้นเองคนกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาจับตัวฉันและพยายามพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งในเวลานั้นฉันไม่เหลือเรี่ยวแรงพอที่จะตั้งใจฟังมันได้เข้าใจ แต่นั่นยิ่งกระตุ้นความกลัวของฉันให้เตลิดมากขึ้นจนฉันพยายามดิ้นสะบัดมือที่เอื้อมมาจับนั้นให้หลุด

       

                      แต่ยิ่งฉันดิ้นรนมากเท่าไหร่จำนวนมือที่เข้ามาจับฉันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดมือคู่หนึ่งก็ดึงแขนฉันออกมาด้านนอกพร้อมกับกดไว้ไม่ให้ฉันดึงกลับเข้ามา ก่อนที่จะมีอะไรบางอย่างแทงมาที่แขนข้างนั้นจนฉันรู้สึกเจ็บแปล๊บ จากนั้นเรี่ยวแรงของฉันก็ค่อยๆ หมดไปพร้อมกับสติอีกครั้ง

       

                      ไม่ว่าความเป็นจริงแล้วเวลาผ่านไปนานเท่าไรแต่ก็คล้ายเพียงชั่วพริบตา ฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความมืดรอบด้านทำให้ฉันแน่ใจว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน ทันใดนั้นความหม่นหมองเหลือคณานับก็ผุดขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาที่มืดสนิททั้งสองข้าง

       

                      ภายในใจก็ คิดไปต่างๆ นาๆ ถึงอนาคตอันมืดมนที่รออยู่จนแทบไม่อยากจะมีชีวิตต่อไปแม้อีกวินาทีเดียวก็ตาม แต่ทว่าทันใดนั้นเองได้มีเสียงของคนๆ หนึ่งที่ฉันพึ่งจะรู้จักได้ไม่นานดังขึ้นทลายความรู้สึกหดหู่นั้นจนหายไป รู้สึกตัวแล้วเหรอครับคุณคีย์

       

                  เจ้าของเสียงนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน นายธีรเดช นั่นเอง ถึงแม้ว่าฉันจะมีทัศนคติแง่ลบกับเขาคนนี้อยู่มากแต่ในเวลานี้เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ฉันรู้จัก จึงทำให้ฉันรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างว่าอย่างน้อยๆ ฉันก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในเวลานี้

       

      คงตกใจมาสินะครับกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขากล่าวต่อพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินมาเข้ามาใกล้

      มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน แล้วฉันอยู่ไหนตอนนี้ ฉันกลายเป็นคนพิการไปแล้วใช่ไหม ฉันรีบถามในหลายๆ อย่างที่รู้สึกสงสัยอย่างเคร่งเครียดและหวังว่าจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนกลับมา

       

                      แต่คำแรกที่เขาตอบฉันออกมากลับเป็นอุ...หึหึ เสียงหัวเราะเบา จนฉันแทบจะทำอะไรไม่ถูกเลยนอกจากคิดได้แต่เพียงว่า นี่เขาเห็นฉันในสภาพนี้ดูน่าตลกนักหรือ แต่แล้วยังไม่ทันที่จะขาดคำฉันก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสที่บางเบาของมือข้างหนึ่งลูบที่ศีรษะของฉันอย่างอ่อนโยน

       

      ใจเย็นๆ นะครับ ผมจะคอยอยู่ตรงนี้ตอบทุกคำถามของคุณเอง การที่ใจร้อนกระวนกระวายแบบนี้ไม่สมกับเป็นคุณคีย์คนเก่งที่ผมรู้จักเลย เขาเปล่งเสียงออกมาค่อยๆ อย่างละมุนละม่อมจนฉันต้องเบือนหน้าหนีอย่างไม่รู้ตัวแม้จะมองไม่เห็นก็ตาม

      ฉวยโอกาสกับคนป่วยแบบนี้ ยังเป็นผู้ชายที่แย่เหมือนเดิมเลยนะคะ... ฉันตอบกลับไป ขอโทษนะครับ และเขาก็ตอบกลับมาเบาๆ ซึ่งไม่รู้ว่าด้วยอะไร แต่ฉันมั่นใจว่าตอนที่เขาพูดคำนี้เขาต้องยิ้มอยู่ด้วยอย่างแน่นอน

       

      ฉันใจเย็นแล้ว...คุณจะเล่าให้ฉันฟังได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้นฉันเริ่มถามอีกครั้ง

      ได้ครับ และเขาก็ตอบรับขึ้นมาทันที เมื่อสามวันก่อน ขากลับจากโบสถ์ คุณก็ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำครับฉันนิ่งฟังอย่างตั้งใจก่อนจะเอ่ยถามสั้นๆว่า นั่นเป็นสาเหตุให้ฉันตาบอดใช่ไหม

       

                      เขารีบตอบกลับทันทีหลังจากพูดจบว่า วางใจเถอะครับ มันไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้น คุณเพียงแค่สมองกระทบกระเทือนจนทำให้ประสาทรับภาพบกพร่อง แต่รักษาตัวอีกไม่นานก็จะกลับมามองได้เป็นปกติ

       

      ฉันมีความหวังขึ้นมาทันทีที่ได้ยินดังนั้นจึงรีบถามต่อไปทันทีว่า แล้วเมื่อไหร่ล่ะ เมื่อไหร่ฉันจะหายเป็นปกติ

       

      เท่าที่ทราบมา คงราวๆ สองถึงสามเดือนได้ครับ

      แล้วนี่ฉันหลับไปนานแค่ไหนแล้ว

      วันนี้เป็นวันที่สามครับ

       

                      แม้จะดีใจที่ระยะเวลาไม่ได้นานเกินไปแต่ฉันยังรู้สึกกังวลในเรื่องงานที่ทำอยู่ แต่ก่อนที่ฉันจะเอ่ยอะไรออกไปนั้นเขาก็พูดขึ้นมาก่อนพอดีว่า ส่วนเรื่องงานไม่ต้องกังวลไปนะครับ ตอนนี้การดีลกันระหว่างบริษัทคุณกับ HB ผ่านเรียบร้อยแล้ว เหลือก็แค่ส่งมอบของเท่านั้น และเจ้านายคุณก็ตั้งใจจะให้คุณพักร้อนยาวเป็นโบนัสพิเศษอยู่แล้วด้วย ดังนั้นพักรักษาตัวให้สบายใจเถอะนะครับ

       

      ไม่เป็นอะไรแน่เหรอ... ฉันถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

      แน่สิครับ เมื่อเช้าคุณทรงชัยก็เอากระเช้ามาเยี่ยม

      เขาได้พูดอะไรกับคุณบ้างเหรอคะ

      เขาบอกผมว่า หากเสียคุณไปก็เหมือนธุรกิจล้มละลายไปครึ่งหนึ่ง หากคุณให้ความสำคัญกับบริษัทต้องรักษาตัวให้หายดีโดยเร็วครับ

       

                  เป็นอีกครั้งที่ฉันรับรู้ได้ถึงรอยยิ้มบนใบหน้าเขาลอยขึ้นมา ทำให้ฉันนึกย้อนถึงครั้งแรกที่ฉันตื่นมาแล้วไม่เจอใครนอกจากความมืดมิด ฉันรู้สึกสิ้นหวังหมดอาลัยจนทำอะไรไม่ถูก แต่ครั้งนี้ความทุกข์ความเศร้านั้นได้เบาบางลงจนเกือบจะหายไป หาใช่เพราะว่าปัญหาทุกอย่างคลี่คลายไปด้วยดี แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเพราะมีเขาคนนี้อยู่ ชายที่ทำเรื่องที่ไม่น่าเชื่อให้เป็นไปได้ แค่มีเขาอยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกว่าอุปสรรคทั้งหลายมันช่างง่ายดายที่จะฟันฝ่าข้ามไป

       

      เดี๋ยวคงได้เวลาที่ผมจะต้องไปแล้วนะครับ จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น

      ตอนนี้กี่โมงแล้วเหรอคะ ฉันเอ่ยถามอย่างสงสัย

      เกือบห้าทุ่มแล้วล่ะครับ เขากล่าวตอบอย่างนุ่มนวลเกรงว่าถ้าอยู่นานกว่านี้คุณคีย์คงจะไม่สะดวกสักเท่าไหร่ ไว้พรุ่งนี้ผมจะรีบมาแต่เช้า

       

                      แม้จะรู้สึกเห็นด้วยแต่ก็รู้สึกใจหายแล้วนี่...ฉันต้องอยู่คนเดียวต่อสินะคะ

       

      เดี๋ยวพยาบาลพิเศษก็จะมาหลังผมกลับไปเองครับ แต่ถึงยังไงซะคุณคีย์ก็ควรจะพักผ่อนให้มากๆ ล่ะครับ

      ค่ะ ฉันตอบเพียงสั้นๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่านี้

       

                      หลังจากล่ำลากันพอเป็นพิธีเขาก็กลับไป จากนั้นไม่นานพยาบาลพิเศษก็เข้ามาดูแลฉันเป็นอย่างดี แต่อย่างไรเสียความรู้สึกบางอย่างก็หายไป พร้อมกับเขา

       

                      จนเวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนในที่สุดเขาก็มาอีกครั้งตามที่สัญญาไว้ พร้อมกับกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใส อรุณสวัสดิ์ครับคุณคีย์ เมื่อคืนหลับสบายดีรึเปล่า

       

      นอนมาตลอดสามวัน จะให้นอนสบายอีกก็คงแย่แล้วล่ะค่ะ

      นั่นสินะครับ ผมนี่ถามไม่คิดซะเลย พูดจบเขาก็เดินมาเอาของบางอย่างที่ใส่ถุงพลาสติกไว้มาวางตรงใกล้ๆ กับเตียงคนป่วย

      ที่เอามาด้วยนี่อะไรเหรอคะ ฉันถามอย่างสนใจ

      ส้ม น่ะครับ พอดีระหว่างทางผมเห็นข้างทางขายผลสวยดี ผมเลยซื้อมาเป็นของเยี่ยมไข้น่ะครับ

       

                      ทันทีที่ได้ยินชื่อเจ้าของที่เขานำมานั้นฉันแทบจะหลุดปากอุทาน ยี้ ออกไป ไม่ใช่เพราะไม่ชอบของที่เขาเอามาฝาก แต่ฉันมีพฤติกรรมทานส้มค่อนข้างประหลาด คือต้องถอนขนแล้วผ่าเอาเม็ดออกก่อนถึงทานได้ไม่อย่างนั้นแล้วจะกลืนไม่ลง แต่ครั้นจะปฏิเสธก็กลัวเขาจะเสียน้ำใจจึงทำได้แค่พูดฝืนๆ ไปว่า ขอบคุณค่ะ แล้วตั้งใจที่จะชิมเป็นพิธีสักคำสองคำ

       

      เดี๋ยวรอสักครู่นะครับ ผมปอกเสร็จจะเอาไปให้ ไม่นานนักหลังจากที่พูดจบเขาก็เลื่อนโต๊ะทานข้าวผู้ป่วยที่ติดกับเตียงนอนขึ้นมา อยู่ตรงหน้าแล้วนะครับ เชิญตามสบายเลย

       

                      ฉันค่อยๆ ยื่นมือออกไปสัมผัสที่ขอบจานได้โดยง่าย จากนั้นจึงค่อยๆ เลื่อนมือไปแตะที่กลางจานช้าๆ ทันทีที่ฉันสัมผัสถึงผิวของกลีบส้มที่อยู่ตรงนั้นฉันรู้สึกแปลกใจทันทีเพราะนอกจากจะปอกเปลือกผ่าเอาเมล็ดออกทุกกลีบแล้วฉันยังไม่สัมผัสได้ถึงขนกลีบส้มเลยแม้แต่น้อย

       

      นักสืบที่คุณจ้างมาเนี่ยคงจ่ายแพงมากเลยสินะคะ แม้แต่เรื่องส่วนตัวแบบนี้ก็ยังรู้ได้ ฉันกล่าวค่อนขอดแกมหยอกกลับไปทันที พร้อมกับหยิบกลีบส้มมาก้มหน้าทานชิ้นหนึ่งเพื่อกลบรอยยิ้มของตัวเอง

       

      แพงสิครับ เขาตอบกลับมาเสียงค่อยผิดไปจากทุกที ผมต้องใช้เวลากว่าสิบปี เป็นค่าจ้างนักสืบคนนี้เลยทีเดียว

       

                      น้ำเสียงที่เคยสดใสร่าเริงอยู่ตลอดเวลาของเขาบัดนี้กลับแปรเปลี่ยนไปเป็นขุ่นมัวและแฝงด้วยความเศร้าก่อนที่เขาจะพูดออกมาต่อด้วยน้ำเสียงที่กลับมาเป็นปกติว่า เดี๋ยวผมขอตัวไปคุยกับหมอสักครู่นะครับ เชิญคุณคีย์ทานตามสบายนะครับ

       

                      พูดจบเขาก็เดินออกไปทิ้งให้ฉันนอนคิดอยู่ลำพังว่าคำที่กล่าวออกมาอย่างเศร้าสร้อยนั้นฉันได้คิดไปเองรึเปล่านะ คิดอยู่อย่างนั้นได้ไม่นานก็ฉันก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงทักทายที่แหลมกังวาน แหม นึกว่าสภาพจะแย่กว่านี้ซะอีกนะคีย์

       

                      เจ้าของเสียงนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน มิ้วนั่นเอง นี่เป็นคำพูดเวลามาเยี่ยมเพื่อนสนิทเหรอยะ ฉันเอ่ยทักทายตอบกลับไป

       

      ก็ดูสิ ฉันรึรีบสะสางงานให้เสร็จจะได้รีบมาดูแกว่าเป็นยังไงบ้าง กลับมานอนกินส้มสบายใจเป็นเจ้าหญิงแบบนี้

      งั้นคุณแม่เลี้ยงเจ้าหญิงจะมานี่เพื่อเยี่ยมรึบ่นกันแน่ล่ะยะ

       

                      แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติแต่พวกเราสองคนก็ยังคงเฮฮากันได้ ในเวลานั้นฉันทั้งปลื้มและดีใจที่มิ้วมาเยี่ยมจนแทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองจนมิ้วเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า ว่าแต่ส้มนี่ใครซื้อมาฝากกันล่ะ แถมปอกซะละเอียดขนาดนี้คงไม่ใช่พยาบาลแน่ๆ

       

      มะ...มีคนเอามาฝากน่ะ ฉันตอบเลี่ยงๆ ไปเพราะพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่ามิ้วสนใจนายธีรเดชอยู่

      แหม นอกจากฉันแล้วมีใครเขารู้รสนิยมการทานส้มที่แสนจะยุ่งยากของเธอด้วยรึไง มิ้วเริ่มซักไซ้ต่อ เอาเถอะถึงเธอจะไม่บอกฉันก็พอจะเดาได้ว่าใคร

      แล้วเธอกับนายธีรเดชล่ะไปถึงไหนแล้ว ฉันพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยแต่ก็ยังไม่วายอยากรู้ความสัมพันธ์ของทั้งสอง     

       

      ฉันอกหักแล้วล่ะ มิ้วรีบตอบกลับมาทันที

      อ้าวทำไมล่ะ ฉับถามกลับไป

       

                  ครั้งนี้มิ้วเงียบไปแล้วเดินมาเอามือขยี้ผมฉันเล่นก่อนจะกอดฉันแน่น ก็เพราะยัยเจ้าหญิงที่นอนอยู่ตรงนี้ไงทำฉันอกหัก

       

      หา!” ฉันอุทานด้วยความตกใจ ฉันไปทำอะไรตอนไหนกัน จากวันนั้นฉันก็อยู่โรงพยาบาลมาตลอด ฉันรีบปฏิเสธกลับไปทันทีโดยที่ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น

      แล้วเธอคิดว่าใครกันล่ะที่พาเธอมาโรงพยาบาลคำพูดของมิ้วทำให้ฉันฉุกใจคิดขึ้นมาได้จึงขอให้มิ้วเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ฉันไม่รู้ตอนหมดสติไป

       

                  ซึ่งมิ้วก็ตอบรับคำของฉันค่อยๆ เล่ามาว่า หลังจากรู้ว่าเธอกลับไป คุณธีรเดชเขาก็รีบวิ่งตามเธอออกไปทันทีอย่างไม่สนใจฉันรึใครเลย

      จากนั้นรถเธอก็ชนเข้ากับรถโดยสารที่ข้ามมาจากอีกฝั่ง จนไฟลุก คนที่สัญจรไปมาต่างก็พากันหนีกันอลหม่านเพราะกลัวรถจะระเบิด มีแต่เขานี่แหละที่วิ่งสวนเข้าไปเอาเธอออกมา

       

      พูดเป็นเล่นไป อย่างกะในหนังแน่ะ ฉันพยายามเอ่ยแย้งเพราะเรื่องที่ได้ยินมันยิ่งกว่าที่ฉันจะคิดได้

      แล้วเธอคิดว่าที่ตามเนื้อตามตัวเธอไม่มีแผลไฟลวกเลย เพราะอะไรล่ะ

      แต่จะว่าเธอก็ไม่ได้นี่นะ เธอไม่เห็นแผลไฟลวกของเขานี่นา

                 

                  เขาได้แผลด้วยเหรอ เป็นอะไรมากไหม ฉันตกใจมากรีบถามออกไปด้วยเสียงดังลั่นจนมิ้วต้องเอื้อมมือมาจับไหล่ฉันแล้วบอกให้สงบใจไว้ เขาไม่เป็นไรหรอก ตอนเจอกันเมื่อกี้นี้ก็ไม่ได้ใส่ผ้าพันแล้ว

                  ฉันค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินดังนั้นแต่พอมาทวนคำพูดของมิ้วดีๆ อีกทีฉันก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมาจึงรีบพูดมาอย่างตกใจกว่าเดิม เห้ย งั้นก็แปลว่าแกเจอกับนายธีรเดชนั่นแล้วน่ะสิ!”

       

      ก็เจอแล้วน่ะสิ แต่ฉันอยากรู้ว่าแกจะทำท่าทางยังไงบ้าง เท่านั้นเอง โฮะๆ ฉันรู้สึกอายขึ้นมาจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ก้มหน้าไปมาต่อเสียงหัวเราะมิ้ว ว่าแต่เรื่องส้มนี่แกก็บอกนายคนนั้นเหรอ ฉันถามมิ้วต่อ

       

      เปล่านิ ที่ฉันคุยกับเขาก็มีแค่ถามสารทุกข์สุขดิบของเขา ไม่พูดเรื่องแกหรอก

      ว่าแต่ทำไมกะเรื่องส้มนี่เหรอ

      เปล่าหรอกมันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นเองไม่มีอะไร

       

                      เราสองคนคุยกันต่อสักพักนายธีรเดชก็กลับเข้ามา แล้วมิ้วก็ขอตัวกลับไปจัดการกับงานของเธอต่อ สบโอกาสฉันจึงถามเขาไปว่า ทำไมถึงไม่เล่าเรื่องแผลไฟลวกนั่นล่ะคะซึ่งเขาก็นิ่งเหมือนตกใจไปชั่วขณะกับคำถามนี้

       

      แค่สะเก็ดไฟเล็กๆโดนใส่เท่านั้นเองล่ะครับไม่มีอะไรมาก

       

                  เขาตอบพลางหัวเราะแหะๆ เบาๆ เหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ แต่ทว่าเพียงแค่นั้นไม่ทำให้ฉันปักใจเชื่อได้ ถ้างั้นขอฉันจับที่มือของคุณหน่อยได้ไหมคะซึ่งเป็นอีกครั้งที่เขาต้องชะงักไป และพยายามจะบ่ายเบี่ยงแต่พอฉันพูดย้ำไปอีกครั้งเขาก็ยอมแต่โดยดี โดยการยื่นมือทั้งสองข้างมาให้ฉันจับ

       

                      สัมผัสแรกที่ฉันวางมือลงไป ฉันรู้สึกได้ถึงความหนาของฝ่ามือ ทำให้รู้ได้เลยว่าแม้เขาจะมีมาดเป็นนักธุรกิจแต่ชีวิตเขาคงเคยผ่านงานใช้แรงมาไม่น้อย เมื่อฉันลองลากนิ้วไปต่อจึงพบกับส่วนที่ผิวหนังดูแปลกไป ทั้งไร้ขนและนุ่มกว่าปกติ จนเกือบจะทั่วทั้งมือ

       

      แผลพวกนี้จะรักษาหายไหมคะ ฉันถามอย่างเป็นกังวล

      หายสิครับ การแพทย์สมัยนี้ก้าวหน้าจะตาย เขากล่าวตอบอย่างนุ่มนวลราวกับกลัวฉันเป็นกังวล

      สัญญานะคะว่า เมื่อใดก็ตามที่ฉันกลับมามองเห็น แผลพวกนี้จะหายไป ฉันถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ

      ได้สิครับ ผมสัญญา เขารีบตอบรับกลับมาทันที

       

                      หลังจากนั้นเขาก็อยู่เป็นเพื่อนฉันจนดึกและขอตัวกลับไปตามปกติ ในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันฉันได้เห็นอีกด้านหนึ่งของเขาที่สนุกสนานเฮฮา ทำให้ฉันหัวเราะได้ทุกนาทีจนเสียงแห้งไปหมด ซึ่งเพราะแบบนั้นเองเวลาที่เขาไม่อยู่ ห้องนี้ ไม่สิ....ฉันกลับยิ่งรู้สึกเหงามากขึ้น

       

                      แต่พอวันรุ่งขึ้นเขาก็จะมาในช่วงเช้าสม่ำเสมอและทุกๆ วันก็จะมีอะไรที่ทำให้ฉันเพลิดเพลินใจต่างกันไปได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่ฉันชอบ หนังสือที่น่าสนใจ แม้แต่หนังที่ฉันอยากดู เขาก็เปิดให้ฉันฟังแล้วก็พูดบรรยายตามไปจึงทำให้ทุกวันที่มืดมนของฉันสว่างสดใสขึ้นมาราวกับความฝัน

       

                      นานวันเข้าฉันเริ่มรู้สึกเคยชินที่มีเขาอยู่ข้างๆ เพราะใจฉันมันร่ำร้องแต่คำเดิมๆออกมาว่า เหงาเหลือเกิน ในเวลาที่เขาไม่อยู่ จนวันหนึ่งขณะที่ใกล้จะได้เวลาที่เขาจะต้องกลับไปฉันก็เอ่ยถามเขาไปว่าถ้าไม่รังเกียจจะค้างที่นี่ก็ได้นะคะ...

       

      ด้วยความยินดีครับเขารีบเอ่ยปากรับคำทันทีอย่างไม่รีรอที่จะคิด

                      นับจากวันนั้นเขาก็มาค้างคืนเฝ้าไข้ฉันทุกคืน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงว่างตัวให้อยู่ในระยะที่เหมาะสมไม่พยายามฉวยโอกาสหรือล่วงเกินแม้สักครั้ง ซ้ำยังคอยติดต่อกับหมอและพยาบาลให้เป็นอย่างดี ตอนจะนอนก็จะรอให้ฉันหลับก่อนแต่พอฉันตื่นเขาก็จะตื่นก่อนฉันทุกที

       

                      ในที่สุดห้วงเวลาแห่งความยากลำบากก็ได้ผ่านพ้นไปด้วยดีโดยที่มีเขาคอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอ พอถึงเวลาที่จะต้องแกะผ้าปิดตาออกภาพแรกที่ฉันได้เห็น คือแสงสว่างจ้าจนต้องหรี่ตาลงมองได้ไม่ถนัด แต่เพียงแค่นั้นก็เพียงพอที่ฉันจะเห็นรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่นของเขาที่ส่งมาทางฉันตลอดเวลาพร้อมกับน้ำตาเม็ดเล็กๆ ที่ไหลออกมาจนเขาต้องรีบยกมือขึ้นมาเช็ดออกอย่างอายๆ

                     

                      ทว่านั่นยังช้าเกินไปเพราะทันทีที่ได้เห็นหยาดน้ำตาหยดนี้ บางสิ่งในใจฉันที่เคยแกร่งก็พังทลายลงราวกับเกิดหลุมใหญ่บนตัวที่ซึมซับความรู้สึกดีๆที่เขามีให้ฉันเสมอมาเข้าไปจนล้นปรี่ออกมาจนอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ปล่อยให้มันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง

       

      เป็นอะไรไปครับคุณคีย์ เจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ เขารีบเดินเข้ามาถามฉันอย่างห่วงใย

      เปล่าค่ะไม่ได้เป็นอะไร ฉันแค่ดีใจที่มองเห็นแล้ว เห็นในสิ่งที่เคยเห็น และมองเห็นในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยเห็นมาก่อนจนเกือบจะละเลยไป ฉันตอบเขาไปตามความรู้สึกที่มี เพราะนั่นคือความจริงที่ใจฉันค้นพบ

       

                      พอออกจากโรงพยาบาลฉันก็กลับมารักษาตัวต่อที่บ้านก่อนที่จะกลับเข้าทำงานอีกครั้ง ซึ่งนั่นทำให้ฉันไม่มีโอกาสจะได้เจอหรือพูดคุยกับเขาเลยสักครั้งได้แต่จ้องมองเจ้าโทรศัพท์เครื่องน้อยไม่ให้ห่างสายตา พยายามจะกดโทรศัพท์ไปหาเขาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพราะที่ฉันต้องการในเวลานี้คือแค่ได้ยินเสียงของเขาเท่านั้น.....

       

                      ท้ายที่สุดจนค่ำฉันก็ไม่ได้ไปหาเขา เพราะนิสัยเสียของฉันที่ไม่ยอมทำอะไรตามที่ใจเรียกร้อง จึงได้แต่ต้องรอคอยฝ่ายเดียวแบบนี้ ทำไมฉันถึงได้เป็นคนแบบนี้นะ.... ฉันต่อว่าตัวเองอยู่ในใจแต่ไม่ทันที่จะทำได้นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันตกใจมากรีบรับอย่างรนราน

       

      สะ...สวัสดีค่ะ ฉันพูดอย่างตะกุกตะกัก ใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ

      ผีเข้ารึไงยะ พูดซะเพราะเชียว คนที่โทรมาคือมิ้วนั่นเอง

      อะ....เอ่อ....ว่าแต่แกมีอะไรเหรอ ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันทีเพื่อกลบความอายของตัวเอง

      แหม พูดอย่างกะว่าไม่มีกิจห้ามโทรอย่างงั้นล่ะ รึกำลังรอใครโทรมาอยู่ล่ะจ๊ะ แต่มิ้วรู้ทันแล้วเอ่ยดักคอแกมหยอก แค่เป็นห่วงเฉยๆ ว่าแกจะเหงารึเปล่าอยู่แต่บ้าน

       

                      พวกเราคุยกันต่ออีกพักใหญ่ส่วนมากจะเป็นเรื่องทั่วไปจนฉันเริ่มจะรู้สึกเพลียจึงขอวางสายไปเตรียมตัวจะเข้านอน วันนี้คงไม่ได้ยินเสียงเขาแล้วสินะ ฉันรำพันกับตัวเองอย่างเศร้าๆ แต่ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

       

      ฮาโหล ฉันหยิบโทรศัพท์มารับอย่างเนือยๆ แต่ทันทีที่ได้ยินทางนั้นเอ่ยปากตอบกลับมาตาฉันก็สว่างขึ้นมาทันที

      สวัสดีครับ คุณคีย์ ขอโทษที่โทรมารบกวนเวลาดึกนะครับ ไม่ทราบว่าหลับไปรึยัง แค่ได้ยินเสียงฉันก็จำได้ทันทีว่าเป็นเขา ธีรเดช

      ยะ...ยังค่ะ กำลังจะหาอะไรทำตอนว่างๆอยู่พอดี ฉันรีบตอบเลี่ยงไปทันที

      อ่า เหรอครับ ว่าแต่อาการเป็นยังไงบ้างครับ

       

                      เขาเริ่มจากถามถึงสารทุกข์สุขดิบของฉันอย่างเป็นห่วง จากนั้นก็คุยเรื่องอื่นๆ ไปตามแต่จะนึกออกมาได้ซึ่งฉันก็รับฟังและพูดตอบอย่างมีความสุขมากจนกระทั่งไม่รู้สึกว่าง่วงนอน ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเพลียแต่อย่างใด ฉันอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าฉันรู้สึกดีมากแค่ไหนที่ได้ยินเสียงของเขา

       

                      จากนั้นทุกคืนพอถึงเวลานี้เขาก็จะโทรมาทุกครั้งและทุกครั้งคอยเตือนคอยถามฉันอย่างห่วงใยในทุกๆอย่างจนฉันรู้สึกกับตัวเองว่า ฉันนี่โชคดีเสียจริงไม่ช้าอาการของฉันก็หายสนิทจนจะเริ่มกลับเข้าทำงานในสัปดาห์หน้า

       

                      พอฉันโทรไปรายงานให้คุณทรงชัยเจ้านายฉันทราบ เขาถึงขนาดจัดงานเลี้ยงรับขวัญ ที่ฉันกลับเข้ามาทำงานได้อีกครั้งขึ้นในคืนวันศุกร์ที่ใกล้จะถึง พอทราบดังนั้นเองฉันก็รู้สึกขึ้นมาได้ว่า คุณ ธีรเดชจะต้องแอบทำอะไรให้ฉันประหลาดใจอีกแน่นอน

       

                      ครั้งนี้ฉันจึงดัดหลังเขาบ้างโดยการรีบส่ง SMS ไปบอกเขาแต่เพียงสั้นๆว่า ขอบคุณนะคะ และเขาก็รีบตอบฉันกลับมาหลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจว่า เอ๋ ? ขอบคุณเรื่องอะไรเหรอครับ ถึงเขาจะตอบมาแบบนี้แต่ฉันก็มั่นใจว่าเขาต้องไม่อยู่เฉยโดยไม่ทำอะไรแน่นอนดังนั้นฉันจึงไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้นแล้วเริ่มเดาใจเขา

       

                      พอได้คำตอบที่มั่นใจว่าใช่ฉันจึงส่ง SMS ไปหาเขาอีกครั้ง เรื่องชุดสำหรับงานวันศุกร์ไงคะ ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ตอบกลับมาให้ฉันแน่ใจตามที่คิด อ้าวถึงแล้วเหรอครับ ผมนึกว่าจะถึงตอนเช้าวันศุกร์เสียอีก

      ฉันรีบกดโทรศัพท์หาเขาทันทีเพื่อบอกกับเขาไปว่า ชุดยังไม่ถึงหรอกค่ะ แต่ฉันคิดว่าถ้าเป็นคุณคงจะต้องทำแบบนี้แน่นอนโดยที่ฉันไม่ต้องเอ่ยปาก

       

      แหะ แหะ สงสัยผมจะใช้ไม้เดิมบ่อยไปจนเริ่มถูกจับทางได้แล้วสินะครับ เขาตอบเสียงค่อยมาอย่างอายๆ

      งั้นคราวหน้าก็ต้องใช้ลูกไม้อื่นแล้วนะคะ จะได้ไม่ถูกจับได้อีก ฉันรีบหยอกกลับไปทันที

      แล้วพอจะเดาได้ไหมครับว่าเป็นชุดแบบไหน เขาย้อนถามกลับมา

       

                      แต่ฉันปฏิเสธที่จะตอบเขาไปเพราะอยากรู้ว่าตรงกับที่ตัวเองคิดไว้ไหม และนั่งนับวันรอให้ถึงวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ พอถึงรุ่งเช้าวันศุกร์ พัสดุชิ้นหนึ่งถูกส่งมาหาฉัน ภายในนั้นเป็นชุดราตรีสีดำยาวเปิดไหล่ที่มาพร้อมกับผ้าคลุมสีเดียวกันตัวกระโปรงจัดจีบลายคลื่นเป็นแนวยาวลงมาไม่แคบหรือบานเกินไป ส่วนช่วงตัวก็ถักทอด้วยลวดลายดอกสีทองอ่อนๆ อย่างประณีตด้วยเนื้อผ้าอย่างดี

       

      แบบที่คิดไว้เลย ฉันเอ่ยกับตัวเองขึ้นมาหลังจากที่ได้เห็นชุดนี้ นี่คือชุดแบบในฝันที่ฉันเคยคิดตั้งแต่สมัยเด็กว่าอยากลองใส่ออกงานดูสักครั้งหนึ่ง

       

                      ฉันมาคิดย้อนไป นับตั้งแต่ที่รู้จักกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามอบแก่ฉันจะต้องเป็นของที่ฉันชอบมากที่สุด จำเป็นมากที่สุด ต้องการมากที่สุด และตรงใจฉันที่สุดอย่างไม่มีบิดเบี้ยวไปจากอุดมคติของฉันเลยแม้แต่น้อยจนแม้แต่ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งฉันจึงเดาได้ไม่ยากเลยที่เขาจะส่งชุดนี้มาให้กับฉัน ฉันจึงตอบรับน้ำใจเขาด้วยการแต่งหน้าทำผมให้ดีที่สุดให้เหมาะสมกับชุดที่เขาให้มานี้

       

      พอถึงเวลาช่วงเย็นงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นที่ชั้นบนสุดของตึกที่ทำงานฉัน ที่เวลานี้ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้ที่ยิ่งสดใสเมื่อต้องแสงไฟสีขาวที่ติดไว้ทั่วห้องตรงกลางถูกจัดเตรียมไว้สำหรับแขกที่มาร่วมแสดงความยินดีพร้อมกับพนักงานต้อนรับอีกหลายสิบคน ตรงสุดหัวมุมเป็นเวทีที่มีดนตรีบรรเลงเพลงคลาสสิคอยู่ตลอดเวลา

       

      เมื่อฉันมาถึงก้าวแรกที่เดินเข้ามาไฟทุกดวงในงานต่างพร้อมใจกันดับลง ก่อนที่แสงไฟจะส่องตรงลงมาที่ฉันจุดเดียว พร้อมกับคุณทรงชัย ประธานในพิธีกล่าวต้อนรับฉันบนเวทีและเชิญฉันกล่าวทักทายทุกคนที่มาร่วมยินดีกับการกลับเข้ามาทำงานของฉัน ทำให้สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องที่ฉันเป็นจุดเดียว

       

      สวัสดีค่ะทุกๆ ท่าน ฉันกล่าวทักทายในขณะที่อยู่บนเวที ฉันรู้สึกเป็นเกียรติและรู้สึกอยากขอบคุณทุกๆ ท่านในที่นี้ที่ได้มาร่วมแสดงความยินทีที่ฉันสามารถกลับมาเริ่มต้นทำงานได้อีกครั้ง หลังจากประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่

       

      ในเวลานั้นชีวิตฉันมืดมนไปทุกๆ ด้าน ไร้เรี่ยวแรง ไร้พลังที่จะกลับมาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ฉันยอมรับว่าในเวลานั้นฉันท้อแท้และหมดหวังที่จะกลับมายืนในจุดนี้อีกครั้ง แต่เพราะแรงใจจากทุกส่วนที่เข้ามาทำให้ฉันสามารถฝันฝ่าช่วงเวลานั้นกลับขึ้นมาได้

      และนอกจากนี้ฉันอยากจะกล่าวขอบคุณ เจ้านายที่แสนดีที่เข้าใจและให้โอกาสในยามที่ฉันไม่อาจทำอะไรได้เพื่อบริษัท เขาเป็นเจ้านายที่แสนดีที่ไม่คิดทอดทิ้งลูกน้องในยามที่สิ้นหวัง

       

      ไม่มีคุณ บริษัทเราก็มืดมนเหมือนกันคีย์ คุณทรงชัยยกไมค์ขึ้นมาพูดตอบฉัน

       

      เหนืออื่นใด ยังมีคนๆ หนึ่ง คนที่แสนวิเศษที่คอยมอบกำลังใจและอยู่เคียงข้างฉันเสมอมา มอบทุกสิ่งที่ดีให้กับฉัน ยอมเหนื่อยเพื่อยืนเคียงข้างฉัน เขาเป็นคนที่ฉุดฉันขึ้นมาจากก้นเหว มอบแสงสว่างคืนมาให้กับฉัน ในวันนี้ไม่ว่าเขาจะอยู่ในงานนี้หรือไม่ ฉันก็อยากจะพูดคำๆ นี้ออกไปว่า ฉันซาบซึ้งและดีใจมากที่ชีวิตนี้ฉันได้รู้จักเขา ขอบคุณค่ะ

       

                      พอเสียงของฉันเงียบลงเสียงปรบมือก็ดังขึ้นพร้อมๆ เสียงดนตรีที่บรรเลงเปิดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ ฉันรีบลงจากเวทีแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อมองหาคุณธีรเดช เพราะฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องปรากฏตัวมาหาฉันอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ทันที่ฉันจะได้มองหรือเดินไปจนทั่ว ทั้งเพื่อนร่วมงานทั้งแขกทางธุรกิจต่างผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาทักทายสอบถามอาการฉันจนแทบจะไม่ได้ทำอะไร

       

                      กว่าสองชั่วโมงที่ผลัดเปลี่ยนกันไปแบบนี้จนฉันรู้สึกอ่อนล้าขึ้นมาทันใด พอสบโอกาสฉันจึงหาเวลาเดินหลบออกมาจากงานเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ฉันเลือกที่จะออกมาหลบที่บนดาดฟ้าของตึก เพราะคิดว่าคงไม่มีใครตามหาเจอได้ เมื่อเปิดประตูเหล็กบานใหญ่ที่ชั้นดาดฟ้าออกมา สิ่งที่รอฉันอยู่เบื้องหน้า

       

                      กลับเป็นลานกว้างที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าสีขาวโรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดง พร่างพรายไปด้วย ฟองสบู่หลากสีลูกเล็กๆ ที่ถูกเป่าออกมาจากอะไรบางอย่างลอยไปมา สะท้อนแสงสีเหลืองนวลที่ติดไว้กับรั้วดาดฟ้ารอบด้านและเมื่อฉันเงี่ยหูฟังดีๆ จะได้ยินเสียงดนตรีที่บรรเลงขับกล่อมเบาๆ ลอยตามสายลมอย่างสบายอารมณ์

       

                      ในระหว่างที่ฉันกำลังตกตะลึงที่ตนราวกลับหลุดมาอยู่ในวิมานฟ้าแดนสวรรค์อยู่นั้น เสียงเรียบๆ ของชายคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาอย่างนุ่มนวลว่า หากไม่รังเกียจช่วยเต้นรำกับผมที่นี่สักเพลงได้ไหมครับ ฉันรีบหันขวับไปตามเสียงที่ได้ยินและในที่สุดฉันก็ได้คนที่ฉันตามหามาตลอดงาน

       

                      คนๆ เดียวที่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ คุณธีรเดชนั่นเอง ที่วันนี้เขามาในชุดทักซิโด้สีดำที่เข้าคู่กับชุดของฉันอย่างกลมกลืน ทันทีที่ฉันได้ยินคำเชิญชวนของเขานั้นฉันไม่ได้ตอบตกลงทันที แต่ฉันค่อยๆเดินเข้าไปหาเขาอย่างช้าๆ สายตาก็จดจ้องอยู่ที่ใบหน้าเขาอย่างไม่ลดละ

       

                      ซึ่งแม้ว่าฉันจะไม่ได้ตกปากรับคำใดๆ ออกไป แต่เพียงแค่นั้นเขาก็คงทราบถึงสิ่งที่อยู่ในใจฉันดี เขาสืบเท้าเดินเข้ามาหาฉันก่อนจะใช้มือข้างซ้ายไพล่หลังยืนตัวตรงแล้วยื่นมือขวามาทางฉันพร้อมกับสายตาที่อ่อนโยนและรอยยิ้มที่อบอุ่น

       

                      ฉันราวกับถูกดึงดูดให้เดินเข้าไปและเอื้อมมือซ้ายเข้าไปสัมผัสกับมือขวาของและค่อยๆ ยิ้มตอบอย่างเขินอายก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นเหนือศีรษะฉันแล้วม้วนให้ตัวฉันมายืนอยู่เบื้องหน้าเขาในสภาพหันหลัง จากนั้นเขาค่อยๆ ใช้มือซ้ายแตะตรงที่เอวให้สัมผัสน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นอย่างระมัดระวัง

                     

                      เป็นเวลาเดียวกันที่ดนตรีถูกบรรเลงให้ดังขึ้น เราทั้งสองจึงเริ่มค่อยๆ สืบเท้าไปตามจังหวะของดนตรีอย่างพร้อมเพรียง ราวกับใจสามารถสื่อถึงกันได้ ไม่จำเป็นต้องมีบทบาท ไม่จำเป็นที่จะต้องซักซ้อม ขอเพียงแค่คิดที่จะก้าวออกไปไม่ว่าทางไหนก็จะมีเขาคอยเดินไปกับฉัน

       

                      จนกระทั่งดนตรีบรรเลงจบเขาจึงค่อยๆ คลายมือออกก่อนจะเดินถอยหลังหลบออกมา แต่เป็นฉันที่รีบหันตามแล้วโผเข้าไปกอดซบหน้าไปที่อกของเขาอย่างไม่รีรอ คุณนี่ขี้โกงจังเลยนะคะ รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับฉัน ทำทุกอย่างที่ฉันชอบแล้วยังมาทำให้ฉันคิดถึงคุณตลอดเวลา...

       

                      ทันใดนั้นเองฉันก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่อ่อนนุ่มจากฝ่ามือของเขายกขึ้นมาลูบศีรษะของฉันเบาๆก่อนที่จะเอ่ยตามมาว่า ที่ผมรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับคุณ เพราะผมใส่ใจใคร่ที่จะรู้ ที่ผมทำในทุกๆ สิ่งที่คุณชอบ เพราะผมปรารถนาให้คุณมีความสุข และที่ผมต้องทำทุกๆ อย่างไป เพราะผมนั้นรักคุณยิ่งกว่าใคร แม้ว่าจะอีกนานเท่าใด ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง ผมก็จะทำทุกสิ่งเพื่อคุณเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านไป

       

                      ฉันถึงกับสะท้านไปทั่วร่างด้วยคำพูดของเขา ไม่ใช่เพราะถูกป้อยอด้วยคำหวาน หากแต่เพราะฉันสัมผัสได้ว่าคำพูดนั้นออกมาจากหัวใจของเขาอย่างแท้จริง ทำให้ฉันเลือกที่จะเชื่อในคำพูดทุกคำที่เขาเคยบอก เชื่อในการกระทำทุกอย่างที่เขาปฏิบัติต่อฉันมา และฉันเลือกที่จะเชื่อใจตัวเองว่าไม่ได้มองคนผิดไป

       

                      จากนั้นใจของฉันก็เปิดรับเขาเข้ามาอย่างหมดใจแฝงไว้ด้วยความใคร่รู้ถึงบางอย่างที่ยังสงสัยอยู่จึงได้เอ่ยถามออกไปทั้งที่ยังซบอยู่แบบนั้น คุณมาจากอนาคตอีก17ปีข้างหน้าสินะคะ...

      ใช่ครับ

      เราทั้งสองคนทะเลาะกันบ่อยไหมคะ...

      เราทั้งสองต่างเหมือนคู่ธรรมดาทั่วไป มีทั้งดีและร้ายผ่านเข้ามาในชีวิตคู่ บางครั้งก็สนิทสนมกลมเกลียวกัน แต่บางครั้งก็มีเวลาที่ไม่เข้าใจกันจนทะเลาะกันบ้าง

      แล้วทำไม...เราถึงเลิกกันล่ะคะ

       

                  เขาหยุดคิดไปชั่วครู่ ร่างกายก็เริ่มสั่นเทาเบาๆ มันเป็นความผิดของผมเองครับ เขาเริ่มกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาแฝงไว้ด้วยความเศร้าอย่างจับใจเดิมที ฐานะของเราสองคนนั้นต่างกันมาก คุณมีงานการทำเป็นหลักแหล่งมั่นคง แต่ผมเป็นแค่นักศึกษาจบใหม่ยังหางานทำไม่ได้ ด้วยทิฐิของตัวเองที่ไม่อยากให้คุณต้องอายใครที่คบกับผม ผมจึงมุ่งมั่นทุ่มเทเวลาให้กับงาน จนหลงลืมไปว่าที่ผมทำไปทั้งหมดก็เพื่อคุณ

       

      แต่ฉันเข้าใจคุณนะคะ ฉันเชื่อว่าทุกสิ่งที่คุณทำลงไปเพราะคุณหวังดีต่อฉัน ฉันพยายามเอ่ยปลอบเขาเท่าที่จะทำได้ ตัวฉันในเวลานั้นคงโง่มากที่ไม่เข้าใจคุณ

      ไม่หรอกครับ เพราะผมไม่ได้พยายามทำให้คุณเข้าใจ ผมคิดแต่เพียงว่าถ้าผมมีงานดีๆ มีฐานะคุณคงจะมีความสุขซึ่งจริงๆ แล้วนั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการเลยแม้แต่น้อย...คนที่ทำให้ทุกอย่างมันผิดพลาดไป ก็คือผมเอง

       

      คุณทำดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ อย่าโทษตัวเองเลย ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเศร้าสลดในใจผ่านถ้อยคำที่เขาถ่ายทอดออกมา ฉันในอีกสิบเจ็ดปีข้างหน้า... แก่แล้วสินะคะ

      คุณยังดูสดใสไม่เปลี่ยนแปลงไปจากวันแรกที่เราได้พบกันครับ

      แล้วฉันยังดื้อ หัวรั้น เอาแต่ใจ และปากไม่ตรงกับใจอยู่ไหม ฉันถามต่อ

      นั่นคือเสน่ห์ของคุณที่ผมประทับใจ และมันยังคงยังตราตรึงใจผมอยู่จนถึงทุกวันนี้และตลอดไปครับ

       

                      พอได้ฟังคำตอบของทุกคำถามที่เคยสงสัย ฉันแทบไม่รู้เลยว่าต้องถามอะไรเขาต่อไปอีกไหม มีอะไรที่ฉันอยากรู้อีกล่ะ เพราะยิ่งฉันได้รู้จักชายคนนี้มากเท่าไหร่ ฉันยิ่งรักเขามากขึ้น ฉันค่อยๆ แหงนมองหน้าของเขาชัดๆ และบอกกับตัวเองอย่างแน่ใจว่า เขาคนนี้แหละคือคนที่ฉันสามารถไว้ใจและพร้อมที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขาไปจนกว่าจะสิ้นลม จากนั้นฉันค่อยๆ หลับตาลงที่จะเพื่อมอบหลักฐานของความรักของฉันให้แก่เขา

       

                      เขาค่อยๆ เลื่อนมือมาโอบฉันไว้ให้ร่างกายของเราสองคนแนบชิดกันจากนั้นจึงค่อยๆ ย่อตัวลงมาประทับบางอย่างลงมาแตะริมฝีปากของฉัน พอฉันลืมตาขึ้นมามองอย่างสงสัยก็พบว่าเขายกนิ้วข้างหนึ่งขึ้นมากั้นระหว่างริมฝีปากของสองเราไว้

       

      คนที่ควรจะทำแบบนี้ไม่ใช่ผมหรอกครับ เวลาของผมมันได้หมดไปนานแล้ว เขาเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ฉันลืมตา จากนั้นร่างกายของเขาก็เกิดบางอย่างขึ้น

       

                      จู่ๆ ตัวเขาก็เปล่งแสงสีขาวนวลคล้ายกับแสงจันทร์ออกมา ก่อนที่จะผละจากตัวฉันไปแล้วค่อยๆ ลอยขึ้นบนฟ้า ยังมีอีกเรื่องที่ผมจะต้องบอกให้คุณทราบ เขากล่าวออกมาในขณะที่ฉันยังคงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

       

      ในเวลานั้น ตอนที่พวกเรามีปากเสียงกันจนถึงขั้นเลิกรากันไป ผมเอาแต่นั่งเสียใจกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แม้มันจะเริ่มจากจุดเล็กๆ ที่เรียกว่าความไม่เข้าใจ แต่ผมกลับไม่คิดที่จะพยายามขอคืนดีกับคุณ ผมกลับเข้าใจว่าเพราะสิ่งที่ผมตั้งใจทำนั้นยังไม่ดีพอ ผมจึงปิดตัวเองจากทุกสิ่งรอบด้านทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตให้กับงานด้วยความเชื่อโง่ๆ ที่ว่า หากผมมีพร้อมทุกสิ่งที่คุณต้องการ คุณจะกลับมาหาผมเอง ผมใช้เวลาไม่นานสร้างบริษัท จนมีชื่อเสียงมีฐานะร่ำรวย แต่ถึงกระนั้นคุณก็ไม่ได้กลับมาตามที่ผมคาดหวังไว้จนอยู่มาวันหนึ่งผมได้รับจดหมายจากคุณส่งถึงผม ภายในเขียนเอาไว้ว่า

       

      ถึงคุณที่ฉันรักสุดหัวใจ

       

      แท้จริงแล้วฉันไม่ได้โกรธอะไรคุณมากมายเลย เพียงแต่หวังจะให้คุณมาปลอบโยนเอาใจฉันเหมือนช่วงแรกที่เราคบหากัน แต่คุณก็ไม่กลับมา หันหน้าเข้าหางานอย่างเอาเป็นเอาตายจนฉันไม่รู้ว่าคุณโกรธหรือเกลียดฉันมากแค่ไหน จึงเลือกงานแทนฉัน ทว่าไม่ว่าคุณจะโกรธหรือเกลียดฉันมากขนาดไหน ฉันก็ยังรักคุณเสมอและหวังว่าสักวันคุณจะยกโทษให้แก่ฉันได้

      รักคุณทุกลมหายใจ

                    คีย์

       

      ทันทีที่อ่านจบ ผมดีใจมากรีบหาที่อยู่ของคุณเพื่อที่จะไปหาให้ไวที่สุด แต่มันก็สายเกินไป เพราะจดหมายฉบับนี้คุณได้ใช้แรงใจที่เหลืออยู่ทั้งหมดส่งถึงผมก่อนที่จะตรอมใจสิ้นลมไป ผมกลายเป็นคนที่ทำร้ายคุณทางอ้อม เพราะไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของคุณเลยจึงปล่อยให้คุณอยู่อย่างเดียวดาย แม้แต่ก่อนสิ้นใจผมยังไม่มีโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ๆ คุณ แต่คุณกลับห่วงว่าผมนั้นโกรธรึเกลียดคุณ จึงหวังจะให้ผมยกโทษให้ก่อนจากไป

       

      นับแต่นั้นมาผมทิ้งงานธุรกิจมอบให้คนอื่นดูแล และได้แต่เฝ้าสวดภาวนาทุกเช้าเย็นต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างสำนึกในความผิดพลาดของตัวเอง ขอเพียงแค่สักครั้งที่ผมได้มีโอกาสได้เจอกับคุณ ผมจะทำทุกอย่างให้คุณมีความสุข จะปกป้องคุณจากทุกสิ่งที่เข้ามาทำร้าย ไม่ว่าจะลำบากลำบนรึเหนื่อยยากเพียงใด ผมก็พร้อมที่จะทำ

       

      ไม่นานนักความรู้สึกผิดที่มีต่อคุณก็กัดกินใจของผมจนทรุดโทรมลง ทว่าทันใดนั้นเองที่ปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นเมื่อลมหายใจสุดท้ายของผมหมดลง ผมได้พบกับแสงสว่างที่ทอดผ่านเป็นทางเดินให้ผมข้ามมาพร้อมกับเสียงกระซิบเบาๆ อย่างเมตตาจากสวรรค์ว่า เราจะให้เวลาเจ้าอีกเล็กน้อย จงใช้มันเพื่อคนที่เจ้ารักอย่างทะนุถนอมเถิด เมื่อถึงเวลาเราจะกลับมารับเจ้าอีกครั้งและนั่นก็คือเวลานี้เอง

       

                      ฉันรับฟังเรื่องที่เขาเล่ามาอย่างตั้งใจ แต่มิอาจจะยอมรับได้เพราะฉันพึ่งจะมอบหัวใจให้แก่เขาไป พึ่งคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขา พึ่งคิดถึงอนาคตชั่วชีวิตไป แต่จู่ๆ กลับกลายเป็นต้องจากลากันไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันจึงสุดที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ ก่อนที่จะพยายามเอ่ยปากฉุดรั้งเขาไว้อย่างอาลัย

       

      ไม่ไป...ไมได้เหรอคะ...แล้วต่อจากนี้ฉันจะอยู่ยังไง ฉันขาดคุณไม่ได้หรอกนะ....

       

                      เขาค่อยๆ ยิ้มละไมเช่นทุกครั้งในระหว่างที่มองลงมาแล้วเอ่ยตอบฉันอย่างนุ่มนวลว่า หากคุณเชื่อในตัวผมและหวังอยากที่จะได้เจอกันอีกครั้ง ช่วยทำอะไรเพื่อผมสักหน่อยได้ไหมครับพร้อมกันนั้นที่ตัวเขาค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า

       

      ได้...ค่ะ ถ้าแค่ไม่ให้คุณจากฉันไปไม่ว่าจะทำอะไรฉันก็ยินดี

       

      หากวันใดวันหนึ่ง คุณได้พบกับหนุ่มน้อยที่ไม่ประสีประสาต่อโลก รู้เฉพาะสิ่งที่อยู่ในตำรา อ่อนแอและอ่อนไหวกับเรื่องต่างๆ ถึงเวลานั้นขอให้คุณช่วยอบรมสั่งสอน ว่ากล่าวตักเตือนเขาเท่าที่จะทำให้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่งได้ไหมครับ

       

      ได้...ค่ะ...ฉันยินดี ฉันตอบรับไปทั้งน้ำตา

       

      หากหนุ่มน้อยคนนั้นในบางเวลา เขาอาจจะทำอะไรที่โง่เขลา เจ้าอารมณ์รึทำอะไรที่ทำให้คุณต้องโกรธ จนยากที่จะอภัยเขาได้ ขอให้คุณรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเขาทำไปเพราะรักคุณ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรคุณถึงจะมีความสุขจนบางครั้งผลมันออกมาตรงกันข้าม เพราะคุณคือคนที่เขารักยิ่งกว่าใคร คุณจะเชื่อเขาตามที่ผมบอกมาได้ไหมครับ

       

      ฉันเชื่อในทุกๆ คำพูดของคุณค่ะ....

       

      และสุดท้าย อยากให้คุณรู้ว่าหนุ่มน้อยคนนั้น นับจากวันแรกที่ได้พบกับคุณ เขาก็หลงรักคุณอย่างถอนตัวไม่ขึ้นทุกวินาที แม้จะสิ้นลมหายใจ วิญญาณเขาก็ยังรักคุณชั่วนิรันดร

       

                      จากนั้นตัวเขาก็ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแสงสีขาวจากฟากฟ้าแล้วค่อยๆ เลือนหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงภาพแห่งรอยยิ้มสุดท้ายก่อนจากไปและความทรงจำที่ผ่านมา ทุกอย่างล้วนเป็นความทรงจำที่มีค่าสำหรับฉันทั้งในวันนี้และตลอดไป

       

                      แต่ถึงกระนั้นฉันยังไม่อาจทำใจที่สูญเสียคนสำคัญไปต่อหน้าอย่างที่ตัวเองไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากรับปากคำสั่งเสียของเขา และใช้เวลาอยู่กับตัวเองร้องไห้เท่าที่จะทำได้ จนฉันไม่รู้ว่ารอบข้างเวลาผ่านไปเท่าใด แต่น้ำตาของฉันก็ยังไม่ยอมหยุดที่จะไหล ความเศร้าในใจก็ไม่จางลง

       

                      จนมีใครบางคนเดินขึ้นมาพบแล้วเอ่ยถามฉันอย่างตกใจว่า คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้อย่างร้อนรนจนฉันรีบตอบปฏิเสธกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นสะอื้นที่ยังไม่เข้าที่ว่า มะ...ไม่มีอะไรค่ะ จากนั้นฉันพยายามที่จะลุกเดินก้มหน้าหนีไปเพราะไม่อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อจะคิดถึงคุณธีรเดชให้มากที่สุด

       

                      แต่ก็ต้องมาสะดุดกับผ้าเช็ดหน้าที่เขาคนนั้นยื่นออกมาให้ ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อย่างน้อยๆ ใช้นี่ซับน้ำตาของคุณเถอะนะครับ ฉันจึงจำใจรับมาเพื่อรักษาน้ำใจอีกฝ่าย ระหว่างที่ซับน้ำตาก็เหลือบไปเห็น

      ชุดบริกรในงานจึงคิดว่าคงมาตรวจดูความเรียบร้อยเท่านั้น

       

                      พอซับเสร็จฉันจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งคืนให้กับเขา แต่เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเขาชัดๆ น้ำตาของฉันก็ร่วงเป็นสายอีกครั้ง เพราะใบหน้าของเขาละม้ายคล้ายกับใครบางคนที่ฉันรู้จัก

       

      อ้าวจู่ๆ เป็นอะไรไปอีกแล้วครับ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล

      เปล่าหรอกค่ะ ฉันสบายดี แค่ดีใจมากไปหน่อยจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรเหรอคะ

      ผม ธีรเดชครับ

                                                                                                         End

      --------------------------------------------------------------------------------------------------------


      ภาพประกอบ "แรกพบ"

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×