Restart - เริ่มอีกครั้งก็ยังรักเธอ
คุณเคยคิดไหมว่ารักของคุณคือรักแท้ และหากต้องเสียรักของคุณไป คุณพร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้รักของคุณกลับมาเหมือนเดิมไหม
ผู้เข้าชมรวม
540
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
“เรื่องไม่คาดฝัน” เชื่อว่าคือสิ่งที่หลายต่อหลายคนต้องเคยพบเจออย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้งในชีวิต เพราะคนเรานั้นไม่อาจที่จะล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้ จึงมักจะพบเจอกับเรื่องไม่คาดฝันอยู่เสมอ บ้างก็เป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นแบบไม่ทันได้คาดคิด หรือบางครั้งอาจจะเกิดเรื่องร้ายๆชนิดที่คาดไม่ถึงเช่นกัน
และวันนี้เองก็เป็นวันที่ฉันได้มาพบกับอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่คาดฝันว่าจะเกิดขึ้น ในวันที่แสนจะธรรมดาเวลาที่ฉันกำลังจะกลับบ้านเหมือนปกติทุกวัน
“สวัสดีครับคุณ คีย์ ใช่รึเปล่าครับ” ชายแปลกหน้าคนหนึ่งเอ่ยปากทักชื่อฉันขึ้นมาบนสถานีรถไฟฟ้าที่ผู้คนกำลังพลุกพล่านตามสภาพหลังเลิกงานในเมืองหลวง
“สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือ?” ในทีแรกนั้นฉันไม่ได้เอะใจอะไร เพราะว่าตัวฉันนั้นก็ทำงานที่ต้องพบปะกับผู้คนมากมายจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีคนไม่คุ้นหน้าทักทายฉันจึงตอบไปอย่างปกติ
ตอนนั้นเองที่ฉันได้สังเกตอย่างถนัดตา เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูจากภายนอกแล้วกะอายุได้ราวๆสัก 20 ปลายๆ จนถึงสามสิบต้นๆ แต่งตัวด้วยชุดสูทสีดำภูมิฐาน ไว้ผมรองทรงหน้าคมเข้มเกลี้ยงเกลาตาโตริมฝีปากเรียวบาง ฉันคิดในใจว่าเขาคงเป็นผู้บริหารของบริษัทไหนสักแห่งที่เคยติดต่อด้วยเป็นแน่แท้
“ขอโทษที่แนะนำตัวช้าไปหน่อยนะครับ ผม ธีรเดช ครับ” เขาเดินเข้ามาใกล้และพูดแนะนำตัวอย่างสุภาพใบหน้าก็ยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตร
“ขอประทานโทษนะคะ ใช่คุณธีรเดชจาก GB กรุ๊ปรึเปล่าคะ พอดีฉันค่อนข้างขี้หลงขี้ลืม”
“อ๋อ เปล่าหรอกครับ จริงๆ คือพวกเราพึ่งจะเคยพบกันครั้งแรกนี่ล่ะครับ เพียงแต่ผมรู้จักคุณคีย์มาค่อนข้างจะนานแล้ว”
“อ่าค่ะ ฟังดูค่อนข้างน่าตกใจนะคะที่มีคนรู้จักฉันโดยที่ฉันไม่รู้ตัวมาก่อนเลยว่าเป็นคนดังขนาดนั้น แล้วไม่ทราบว่าตอนนี้มีธุระอะไรเหรอคะ?”
“อืมม จะว่ายังไงดีล่ะอาจจะฟังดูแปลกๆสักหน่อยนะครับ” ถึงตรงนี้เขาก็เงียบไปสักครู่หนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นมาเกาที่แก้มด้วยท่าทางเขินอายก่อนจะพูดประโยคที่ฉันแทบจะไม่อยากเชื่อหูตัวเองออกมาว่า “คือช่วยมารักกับผมทีได้ไหมครับ”
ทันทีที่ตั้งสติได้ฉันรีบถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจอย่างมาก “เอ๋ นี่ล้อกันเล่นใช่ไหมคะ แบบนี้ไม่แรงไปหน่อยเหรอ”
“ถ้าหากนึกเรื่องงานที่อยากจะพูดได้แล้วก็เชิญที่บริษัทนะคะ แต่ถ้าจะพูดเรื่องล้อเล่นไม่เป็นเรื่องแบบนี้ละก็ฉันขอตัวกลับบ้านก่อนก็แล้วกันค่ะ” จากนั้นฉันก็รีบสะบัดหน้าเดินหนีออกมาด้วยความโกรธที่ถูกล้อเล่นแบบนี้
จนกระทั่งกลับมาถึงบ้าน อาการหัวเสียนั้นก็ไม่ได้หายไปหรือแม้จะพยายามทำอะไรหลายๆ อย่างให้ลืมมัน อาจจะเป็นเพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครเคยพูดกับฉันแบบนี้ก็เป็นได้ ตั้งแต่สมัยเรียนฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนจนไม่มีใครกล้าเข้าหา พอจบมาไม่นานก็ได้งานที่ดีเป็นสาเหตุให้ผู้ชายไม่กล้าเข้ามาใกล้อีก
“ผู้ชายอะไรกัน มองภายนอกก็ดูดีอยู่หรอก แต่ดันมาพูดเล่นไม่เข้าท่าซะเลย” แม้แต่ตอนจะเข้านอนฉันก็ยังไม่หยุดที่จะบ่นถึงเขา พยายามถามกับตัวเองหลายต่อหลายครั้งว่าทำไมถึงต้องเก็บมาคิดมากขนาดนั้น ก็ไม่ได้คำตอบอะไร จนกระทั่งต้องข่มตานอนกอดหมอนให้หลับไปใจฉันถึงเริ่มจะสงบลงได้ในคืนนั้น หากแต่ก่อนที่สติจะเลือนหายไปภาพของเขาก็ยังลอยผุดขึ้นมา “ทำไมกันนะ...ถึงจะน่าโมโหแค่ไหนก็เถอะ...แต่ทั้งการพูดจาและการแต่งตัวของเขา ก็ไม่ได้เป็นแบบที่เราเกลียดเลย...หนำซ้ำ.....”
จนเมื่อรุ่งเช้ามาถึงฉันก็โยนเรื่องที่เกิดขึ้นไว้เบื้องหลังเตรียมตัวที่จะต้องเจอกับวันใหม่ ด้วยบรรยากาศที่วุ่นวายในยามเช้าที่ต้องเร่งรีบไปซะทุกอิริยาบถตามประสาของเมืองหลวงจนแทบจะไม่มีเวลาแม้แต่การนั่งทานอาหารบนโต๊ะกับครอบครัวทำให้ฉันลืมเรื่องราวเมื่อวานไปจนสนิทใจ
หลังจากเดินทางผ่านการจราจรที่แออัดตัดเข้าตัวเมืองไม่ไกลจากบ้านเท่าใดนักก็ถึงที่ทำงานตึกสูงกลางเมือง และตัวฉันทำหน้าที่เป็นเลขาประธานบริษัทแห่งนี้ ดังนั้นในทุกๆวันฉันต้องมาถึงที่ทำงานเช้ากว่าทุกคน เพื่อจัดเตรียมเอกสารและตารางนัดหมายทุกอย่างที่จำเป็นให้กับเจ้านายก่อนที่เขาจะเข้ามาถึง
“เอาล่ะส่วนของวันนี้ก็คงเรียบร้อยแล้วล่ะนะ” ฉันพูดกับตัวเองในระหว่างที่จัดเอกสารเสร็จ พอดีกันนั้นเองกับที่ E-mail ฉบับหนึ่งถูกส่งเข้ามาหาฉัน เมื่อเปิดอ่านดูฉันถึงกับเข่าอ่อนแทบจะล้มทั้งยืน
E-mail ฉบับนี้ถูกส่งมาจากบริษัท A ซึ่งเป็นบริษัทคู่ค้าที่ฉันเป็นตัวแทนติดต่อซึ่งจะปล่อยให้หลุดไปไม่ได้เป็นอันขาด แม้จะหวังให้มันเป็นเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงตรงหน้าฉัน มันคือ E-mail ปฏิเสธการค้าที่ทางนั้นส่งมาโดยอ้างสาเหตุว่า ทางเรา ซึ่งหมายถึงฉัน ติดต่อมาช้าเกินไปทำให้เขาตัดสินใจตกลงกับบริษัทอื่นไปก่อนหน้านี้แล้ว
“อะไรกัน...แบบนี้ก็เท่ากับว่า...” แม้นจะกังวลอยู่ลึกๆว่าเป็นความผิดพลาดของฉันเองแต่ผลกระทบต่อตัวบริษัทนั้นมากมายจนฉันไม่รู้ว่าจะแบกหน้าไปรายงานเจ้านายอย่างไรดี
จนเวลาผ่านไปถึงช่วงสายเจ้านายของฉันก็มาถึง สิ่งเดียวที่ฉันคิดได้ในตอนนั้นคือ ยอมรับผิดทุกอย่างและขอลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ฉันใช้เวลารวบรวมความกล้าข่มความกลัวเอาไว้เบื้องหลังกุมมือแน่นก่อนจะเดินเข้าไปรายงานผล
“ส...สวัสดีค่ะคุณทรงชัย” ฉันเริ่มกล่าวทักทายก่อน
“สวัสดีครับ คีย์ วันนี้ก็มาเช้าเหมือนเคยเลยนะ คุณนี่ไม่เคยทำให้ผมผิดหวังเลยจริงๆ” ฉันถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ปากหนักไม่กล้าพูดอะไรออกไปหลังจากถูกเอ่ยชมด้วยความคาดหวัง
มันช่างเป็นบรรยากาศที่อึดอัดจนยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดใดๆ ได้ ยิ่งถูกคาดหวังไว้มากเท่าใด ใจฉันยิ่งรู้สึกผิดยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เมื่อถึงขีดสุดที่ฉันจะทนได้ฉันจึงตั้งใจที่จะพูดออกไปให้มันสิ้นสุดลงในเวลาอันสั้นเพียงแต่ว่า ก่อนหน้านั้นเองเพียงชั่วอึดใจเสียงเคาะประตูจากข้างนอกดังขึ้นซะก่อน
พอหันไปมองตามเสียงกลับทำให้ฉันรู้สึกแปลกใจขึ้นมาทันที เมื่อคนที่อยู่ด้านนอกนั้นคือ ‘ธีรเดช’ ผู้ชายคนที่ฉันเจอเมื่อวานนี้ “สวัสดีครับคุณ
“โอ้ ครับ เชิญครับ” และเหมือนเจ้านายของฉันจะดีใจมากที่ได้พบกับคนๆ นี้ด้วยการแสดงออกทางสีหน้าที่ยิ้มแป้นและเดินเข้าไปจับมือกันอย่างสนิทสนม “ยินดีที่ได้พบกันอีกนะครับคุณคีย์” ชายคนนั้นที่บัดนี้ฉันไม่รู้จะเรียกเขาด้วยชื่อใด หันมาเอ่ยทักทายโดยที่ฉันเริ่มสับสนยิ่งขึ้น
“ต้องขอบคุณจริงๆ นะครับที่เลือกใช้สินค้าของบริษัทเรา รับรองว่าพวกคุณจะไม่ผิดหวัง” คุณทรงชัยเอ่ยขึ้น “เรื่องสรรพคุณนี่เลขาของคุณเล่าให้ผมฟังหมดแล้วล่ะครับ จริงๆ ทางเราก็ถือว่าโชคดีที่ทางคุณเสนอสินค้ามาได้ถูกจังหวะเวลามากๆ” ชายแปลกหน้าตอบพลางหันมายิ้มอย่างเป็นนัยๆ
เหนืออื่นใดในเวลานี้ยิ่งทำให้ฉันไม่เข้าใจอะไรเลยว่าทั้งสองคนพูดถึงเรื่องอะไรกัน “เราพึ่งจะเจอเขาคนนั้นแค่เมื่อวานนี้ครั้งแรกไม่เคยติดต่ออะไรเลย แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น” ฉันได้แต่พร่ำถามตัวเองอยู่คนเดียวเท่านั้น
“ถ้าไม่รังเกียจไปทานมื้อกลางวันด้วยกันไหมครับ คุณวิภพ”
“แหม ยินดีอย่างยิ่งเลยล่ะครับ แต่น่าเสียดายจริงๆที่ผมนัดกับเลขาคนสวยของคุณไปซะแล้วสิ ไว้เป็นมื้อหน้าก็แล้วกันนะครับ” พอฉันได้ยินดังนั้นแม้จะรู้สึกหวาดระแวงต่อชายคนนี้อยู่มากแต่ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะสอบถามเรื่องทุกอย่างจากเขาไปด้วยจึงปล่อยตามน้ำไปโดยไม่เอ่ยแย้งขึ้นมา
จากนั้นพวกเราจึงเดินออกมาด้านนอกโดยมีเจ้านายของฉันเดินตามมาส่ง ระหว่างทางทั้งสองคนก็พูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นด้านธุรกิจกันไป สบโอกาสคุณทรงชัยก็แอบกระซิบฉันเบาๆว่า “เรื่องการดีลกับบริษัท A ให้ยกเลิกได้เลยนะก่อนที่ฝั่งนั้นจะตกลงมา” จึงราวกับว่าฉันรอดพ้นวิกฤตเพราะการมาถึงของเขาคนนี้เลยก็ว่าได้
จากนั้นเราก็เดินมาขึ้นรถ Taxi สบโอกาสฉันจึงเอ่ยถามเขาขึ้นมาตรงๆกับเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านไปอย่างไม่ค่อยจะสบอารมณ์สักเท่าใดนัก “ตกลงจะให้เรียกว่า ‘ธีรเดช’ รึว่า ‘วิภพ’ ดีคะคุณคนแปลกหน้า”
“ฮะๆ ‘ธีรเดช’ นั่นแหละครับ”เขายิ้มตอบอย่างใจเย็น “ส่วนข้อสงสัยอื่นๆไว้ถึงร้านอาหารเดี๋ยวผมจะตอบทุกอย่างเลยละกันนะครับ” พูดจบเขาก็หันไปบอกจุดหมายกับคนขับรถไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลนักจากที่ทำงานฉัน
“คุณคีย์มีร้านที่อยากทานเป็นพิเศษบ้างไหมครับ”
“ไม่ค่ะ รีบๆทานให้เสร็จแล้วรีบกลับดีกว่า ไม่รู้ว่าป่านนี้ปัญหาที่คุณก่อไว้จะเป็นยังไงบ้าง”
ฉันพยายามตอบแบบรุนแรงเพื่อให้เขารับรู้ถึงความรู้สึกเบื่อหน่ายของฉันอย่างตรงไปตรงมา แต่ถึงแม้ว่าฉันจะพูดออกไปแบบนั้นเขาก็ยังคงยิ้มแล้วตอบกลับอย่างใจเย็นว่า “งั้นไปร้านนึงที่ผมอยากทานมานานแล้วละกันนะครับ” ก่อนจะเดินนำหน้าไป
จนไปหยุดอยู่ร้านอาหารร้านหนึ่งที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี “มีเซนส์ในการเลือกร้านอาหารเหมือนกันนี่คะ เสียแต่ผิดเวลาไปหน่อยรึเปล่า” ฉันยิ้มกล่าวค่อนขอดเพราะหวังจะได้เห็นสีหน้าผู้ชายคนนี้ทำท่าผิดหวังเพราะคนเต็มร้านจนไม่มีที่ให้นั่งตามประสาร้านดังในเวลากลางวันที่ฉันรู้จัก
แต่ครั้งนี้ฉันกลับต้องผิดหวังเพราะนอกจากที่เขาจะไม่แสดงท่าทีตื่นตระหนกตกใจ กลับเดินตรงไปคุยอะไรบางอย่างกับพนักงานหน้าร้านก่อนจะหันกลับมาบอกฉันอย่างยิ้มแย้มว่า “โต๊ะที่จองไว้ว่างพอดีเลยครับ” ฉันรู้สึกเจ็บใจมากกับท่าทีของเขาแต่ยังไม่เท่ากับความแปลกใจที่นายคนนี้อ่านอนาคตออกว่าจะสามารถพาฉันออกมาได้จนถึงขนาดจองร้านอาหารไว้ล่วงหน้าเชียวหรือ
ฉันพยายามคิดถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ขึ้นต่างๆนาๆ จนในที่สุดฉันก็สรุปบางอย่างได้ แต่ยังไม่รีบร้อนที่จะเอ่ยอะไรออกไป รอนั่งโต๊ะเสร็จสรรพ ฉันยิ่งมั่นใจในสิ่งที่ฉันคิดยิ่งขึ้นด้วยคำพูดประโยคหนึ่งของเขา “อย่าลืมทานยาก่อนอาหารนะครับ”
“รู้สึกว่าจะสืบมาหมดแล้วสินะคะ เรื่องของฉัน” ฉันพูดตอบไปด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยหากแต่แสดงออกด้วยสายตาที่อาฆาต แต่ก็เป็นเหมือนเช่นทุกๆ ครั้งก่อนหน้า เขาไม่มีท่าทีจะร้อนรนแม้แต่น้อย กลับหัวเราะออกมาพร้อมกับเอามือป้องปากไว้เพื่อไม่ให้เสียงดังจนไปถึงโต๊ะคนรอบข้าง
“ขอโทษจริงๆ ครับ ที่เสียมารยาท แต่การที่คุณคีย์คิดแบบนั้น ก็ไม่แปลกเพราะผมยังไม่ได้อธิบายอะไรเลย” เขากลั้นหัวเราะไว้แล้วยิ้มตอบ “เอาล่ะ เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ ก่อนอื่นผมคงต้องเกริ่นถามสักนิดนึง คุณคีย์รู้จัก ‘การเดินทางข้ามเวลา’ ไหมครับ” เขาหันมาถามด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง
“หมายถึงที่อยู่ในหนังแนวไซไฟ หรือการ์ตูนอะไรพวกนั้นรึเปล่าคะ” ฉันตอบกลับไปด้วยท่าทีที่สนใจว่าเรื่องทั้งสองเกี่ยวข้องกันยังไง “ครับ ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆเลยมันก็คือการ ที่ใครสักคนย้อนเวลามาในอดีต รึข้ามเวลาไปในอนาคต นั่นแหละที่เรียกว่าการเดินทางข้ามเวลา”
“แล้วมันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ผ่านมายังไงเหรอคะ กับเรื่องเพ้อฝันที่คุณยกขึ้นมา” ฉันถามกลับไป “เกี่ยวสิครับ” เขารีบตอบกลับในทันทีด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและสีหน้าที่เคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยแสดงออกมาก่อนหน้านี้เลยว่า “ก็เพราะว่าผมมาจากอนาคตยังไงล่ะ”
“เลยทำให้คุณรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตัวฉันงั้นเหรอคะ” ฉันรีบถามต่ออย่างไม่ทันหยุดคิด “ถูกต้องแล้วล่ะครับ ไม่เพียงเท่านี้ ทั้งเรื่องที่ชอบและไม่ชอบ ทั้งงานที่ถนัด ทั้งนิสัยส่วนตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ เกี่ยวกับคุณคีย์ผมรู้หมดทุกอย่าง” เขาค่อยๆ เรียงร้อยอธิบายออกมาอย่างช้าๆ
“งั้นฉันถามหน่อย คุณมาจากอนาคตอีกกี่ปีข้างหน้าและเป็นอะไรกับฉันถึงมั่นใจว่ารู้เรื่องของฉันมากมายขนาดนี้” หลังจากที่ฉันถามจบไปอย่างสงสัยฉันก็สังเกตเห็นว่าเขาได้หยุดนิ่งไปชั่วขณะจากที่ผ่านมาเขาสามารถคิดและโต้ตอบอะไรต่างๆ ที่ฉันทำหรือพูดออกไปได้อย่างทันท่วงที แววตาของเขากลับทอประกายบางสิ่งออกมาที่คล้ายกับความหม่นหมองก่อนที่จะตอบคำถามของฉันด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มสั่นลงไปว่า
“นับจากเวลานี้ไปก็ อีก 17ปีครับ” เขาหยุดนิ่งไปอีกครู่หนึ่งก่อนจะพูดประโยคต่อมาที่ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อว่า “ผมเป็นคนรักของคุณในขณะนั้น....ไม่สิ ในระหว่างเวลานั้นพวกเราเป็นคู่รักกันมาระยะหนึ่ง”
“คุณว่าไงนะ!” ฉันกล่าวออกมาอย่างตกใจทันทีที่ได้ยิน “นับจากเวลานี้ไปอีกไม่นาน คุณกับผมจะพบและคบหากันไปอีกหลายปี ก่อนจะมีปัญหาทำให้ต้องเลิกรากันไป อีกทั้งความสัมพันธ์ของพวกเราในขณะนั้นไม่อาจที่จะฟื้นฟูเยียวยาได้อีกต่อไปผมจึงต้องย้อนเวลากลับมาเพื่อแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดนั้น”
ฟังถึงตรงนี้ฉันรู้บางอย่างที่จะยากอธิบายได้ฉันจึงยกมือขึ้นมาเป็นสัญญาณบอกให้เขาหยุดก่อน จากนั้นฉันจึงพูดความรู้สึกในใจที่หลังจากได้ยินเรื่องราวต่างๆของเขาออกมา “คุณนี่ เป็นคนที่ดูผิดจากภายนอกมากเลยนะคะ”
“คิดว่าฉันจะเชื่อเรื่องแต่งไร้สาระของคุณอย่างนั้นหรือคะ?” ฉันกล่าวพลางจ้องหน้าตอบ “รึแม้ว่าไอ้เรื่องงี่เง่าที่คุณแต่งขึ้นมามันจะเป็นเรื่องจริง คุณมันก็แค่ผู้ชายไร้น้ำยาที่ไม่มีปัญญาจะไปซ่อมแซมความรักที่ผุพังของตัวเองจนต้องหนีมาโกงที่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ตัวคุณในเวลานี้ นอกจากเปลือกนอกที่ดูดีแล้ว ก็เป็นได้แค่คนชอบโกหกไม่ก็คนขี้ขลาดเท่านั้นเอง” ฉันพูดทิ้งท้ายด้วยอารมณ์ที่อัดอั้นในใจก่อนจะลุกออกมาโดยไม่หันกลับมามอง
ถึงอย่างนั้นใจฉันก็ยังกังวลอยู่ไม่น้อย “พูดไปซะแรงเขาจะเป็นอะไรไหมนะ อย่างน้อยเขาก็ช่วยเราเรื่องงานตั้งเยอะ” ส่วนหนึ่งก็โกรธเพราะเหมือนถูกล้อเล่น แต่อีกส่วนก็รู้สึกอินไปกับเรื่องราวนั้นจนอดที่จะเจ็บแค้นแทนไม่ได้ จากนั้นฉันพยายามคิดอะไรเรื่อยเปื่อยเพื่อให้ลืมเรื่องนั้นไปซะ รู้ตัวอีกทีก็กลับมานั่งอยู่ที่ทำงานซะแล้ว
“กริ๊ง กริ๊งง” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นหลังจากเลยพักเที่ยงไปไม่นาน “สวัสดีค่ะ SN company ค่ะ” ฉันรับสายและกล่าวตอบไปตามปรกติ “สวัสดีค่ะ ดิฉันเป็นเลขาคุณ ‘วิภพ’ จาก HB Group นะคะ พอดีทางเรากำลังต้องการสินค้าหลายรายการจากทางคุณเป็นการด่วน ไม่ทราบว่าจะต้องติดต่อไปที่ใครคะ”
ฉันรู้สึกสับสนมากเพราะนี่แสดงว่าเรื่องที่นาย ‘ธีรเดช’ มาติดต่อเรื่องธุรกิจเมื่อเช้าก็กลับกลายเป็นเรื่องจริงไปซะแล้ว “ติดต่อที่ดิฉันได้เลยค่ะ รึถ้ายังไงก็แจ้งรายละเอียดผ่านทาง Fax หรือ E-mail ก็ได้ค่ะแล้วดิฉันจะติดต่อกลับไปให้ไวที่สุด”
อย่างไรเสียฉันก็ทราบดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาสับสนจึงตั้งสมาธิให้อยู่กับงาน เพราะอย่างน้อยจะได้ชดเชยข้อผิดพลาดเรื่องบริษัท A ลงได้ และไม่นานนักฉันก็สามารถติดต่อขั้นต้นกับ HB Group ได้อย่างง่ายดายหลังจากได้รับรายการสินค้าที่ทางนั้นต้องการแล้วฉันจึงโทรไปรายงานคุณ ‘ทรงชัย’ ให้ทราบและเขาก็ดีใจอย่างมากที่ได้ยินข่าวนี้
“เช็ครายการสินค้าที่ทางนั้นส่งมาแล้วเทียบกับสินค้าในคลังของเรา จากนั้นทำ ‘รีพอร์ท’ ส่งมาให้ผมทีนะคีย์ คงจะเหนื่อยสักหน่อยแต่ครั้งนี้ถือว่าเป็นผลงานของคุณ ไว้ผมจะเพิ่มวันพักร้อนกับโบนัสให้นะ ที่เหลือผมฝากด้วยล่ะ”
กำลังใจในการทำงานของฉันเต็มขึ้นมาจนล้นปรี่ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ใช่ว่าเพราะรางวัลที่จะได้รับแต่เป็นเพราะฉันสามารถสร้างประโยชน์ให้กับบริษัทและทำสิ่งต่างๆได้ดีตามที่มีคนคาดหวังไว้ ฉันจึงตั้งใจที่จะทุ่มเทให้กับรีพอร์ทนี้อย่างสุดความสามารถ
และในขณะที่ฉันกำลังจะเริ่มต้นลงมือทำ โทรศัพท์มือถือของฉันก็ดังขึ้น แต่เบอร์ที่โทรเข้านั้นฉันกลับไม่คุ้นและไม่เคยบันทึกชื่อเลย แต่ฉันก็รับสายเพราะเกรงจะเป็นลูกค้าติดต่อมา “ฮาโหล สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีตอนบ่ายครับคุณคีย์” ปลายทางตอบกลับมาอย่างสุภาพ ซึ่งฉันจำน้ำเสียงนี้ได้เป็นอย่างดีแม้จะพึ่งเคยพบกันไม่กี่ครั้ง ‘ธีรเดช’
“ทราบเบอร์นี้ได้ยังไงคะ” ฉันถามกลับไปอย่างเรียบๆ แม้ในใจจะอยากพูดแรงๆ เพราะคิดว่าเขาคงจ้างนักสืบมาสืบเรื่องส่วนตัวของฉันหมดแล้ว แต่ที่ไม่ทำเช่นนั้นคงเพราะลึกๆ แล้วฉันอาจจะรู้สึกผิดต่อเขาอยู่ที่พูดอะไรรุนแรงก่อนหน้านั้นไป
“เรื่องนั้นบอกไปอาจจะเข้าใจยาก เอาเป็นว่ามาคุยเรื่องงานกันดีกว่าไหมครับ” เขาพยายามตอบเลี่ยงไป แม้จะคุยกันทางโทรศัพท์แต่ฉันก็ยังเห็นใบหน้าของเขาที่กำลังยิ้มขณะที่คุยโทรศัพท์ไปราวกับลอยมาอยู่ตรงหน้า “งานอะไรเหรอคะ?”
“ลองเช็ค E-mail ดูแล้วกันครับ คาดว่าคงมีประโยชน์บ้าง” เขากล่าวทิ้งท้ายสั้นๆก่อนจะวางหูไป หลังจากนั้นฉันก็รีบเปิดเข้าไปเช็ค ด้วยความสงสัยและฉันก็ได้พบกับ ‘E-mail’ ลึกลับฉบับหนึ่ง แต่ครั้งนี้ฉันก็พอจะเดาได้แล้วว่ามันถูกส่งมาจากใคร พอเปิดอ่านเนื้อหาภายในนั้นเขียนไว้ว่า
“คาดว่าตอนนี้คุณคีย์คงได้รับคำสั่งซื้อจากทาง HB แล้วกำลังวุ่นอยู่กับการเริ่มทำ ‘รีพอร์ท’ สินะครับหวังว่าข้อมูลที่แนบมานี้จะแบ่งเบางานของคุณคีย์ได้บ้างนะครับ จาก ธีรเดช”
เบื้องต้นฉันยังไม่รู้สึกอะไรกับข้อความนี้เท่าไหร่เพราะมันค่อนข้างจะรวบรัด และฉันก็ยังคิดไม่ออกว่าเขาจะช่วยอะไรเรื่อง ‘รีพอร์ท’ ของฉันได้ จนกระทั่งฉัน ‘ดาวน์โหลด’ ข้อมูลที่เขาแนบมานั้นเองทำให้ฉันตกใจจนถึงขั้นลุกขึ้นยืนทุบโต๊ะอย่างแรงเพราะนั่นคือ ‘รีพอร์ท’ ตัวที่ฉันกำลังจะเริ่มทำ แต่นี่กลับเป็นตัวสมบูรณ์ที่ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ภายในนั้นเขียนระบุไว้ถึงราคาสินค้า ณ เวลาปัจจุบัน ส่วนขาดในคลังของบริษัทฉันรวมไปถึงวันส่งมอบสินค้าและราคารวม ทุกๆส่วนอย่างสมบูรณ์ ฉันพยายามไล่เช็คหาข้อผิดพลาดแต่ก็ไม่พบเลยแม้แต่จุดเดียว
“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าใช้วิธีไหนถึงทำได้ขนาดนี้ แต่ยังไงก็สบายล่ะงานนี้” ถึงแม้จะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง แต่อาจจะเพราความชินชาที่เจอมาทั้งวันทำให้ฉันเลือกที่จะเลิกหาคำตอบของมันและยอมรับของชิ้นนี้ไปอย่างเต็มใจ
ด้วยเหตุนี้เองงานของฉันจึงเสร็จสิ้นลงโดยที่ไม่มีใครรู้ถึงเบื้องลึก ได้แต่ตะลึงพรึงเพริดไปตามๆกัน ไม่เพียงเท่านั้นฉันยังได้รับคำชมอีกมากมายจากเจ้านายของฉันอีกด้วย และวันที่แสนสับสนแล้วงวยงงของฉันก็จบลงเพียงเท่านี้แม้จะยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจในหลายๆ สิ่งกับผู้ชายคนนั้น แต่ลึกๆ แล้วในเวลานี้ฉันก็รู้สึกขอบคุณเขาไม่น้อย
รุ่งขึ้นในวันต่อมา วันอาทิตย์ วันที่ฉันต้องตื่นเช้ากว่าปกติเพื่อจะต้องไปโบสถ์ ระหว่างการเดินทางฉันพยายามเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลาเพื่อดูว่าจะเจอเขาคนนั้นไหม และก็รู้สึกโล่งใจที่ไม่เจอ “นึกว่าจะโผล่ทุกที่เป็นเงาตามตัวซะอีก” ฉันบ่นกับตัวเองออกไปแบบนั้น
จากนั้นไม่นานนักฉันก็เดินทางมาถึงอย่างแรกที่ฉันทำ คือการมองหา ‘มิ้ว’ เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนในระหว่างที่ฉันกำลังเหลียวซ้ายแลขวาอยู่นั่นเอง ก็มีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาเอามือจี้ที่เอวจนฉันตกใจรีบหันไปค้อนเตรียมจะตวาดสวนคนที่ทำแบบนี้ พอฉันหันมาดูก็พบกับ
‘มิ้ว’ เพื่อนสนิทตัวดีที่ฉันกำลังมองหา “ยังบ้าจี้ไม่เปลี่ยนไปเลยนะแก” มิ้วเป็นสาวมั่นที่เนี้ยบไปตั้งแต่ ผมที่ยืดตรงทุกเส้น ริมฝีปากเรียวแหลมที่จะมีสีแดงสดทาอยู่เสมอ ใบหน้าก็ขาวนวลเหมือนปุยนุ่น ดวงตาสดใสกลมโตนัยน์ตาสีฟ้าและจมูกโด่งตามประสาลูกครึ่ง อีกทั้งยังมีดีกรีจบปริญญาเอก มีงานการเป็นถึงเจ้าหน้าที่วิจัยตลาดหลักทรัพย์
“ก็ยังดีกว่าชอบเล่นเป็นเด็กๆแบบแกล่ะย่ะ” ฉันกล่าวตอบไปพลางหยิกคืน
“ก็ฉันยังเด็กอยู่จริงๆนี่นา”
“จ้า แม่คุณสาวเสมอ อย่าไปเผลอโชว์บัตรประชาชนให้ใครเห็นก็แล้วกัน”
“เดี๋ยวเขาจะเห็นคำว่า นาย บนบัตรใช่ไหมล่ะ”
“ฮ่า ฮ่า” เราทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมกันอย่างอย่างหอมปากหอมคอ ก่อนจะชวนกันเดินเข้าไปด้านในเพราะใกล้จะถึงเวลาเริ่มพิธีแล้ว ระหว่างที่เดินไปเราก็พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องที่เจอมาทั้งอาทิตย์ให้กันและกันฟัง โดยเริ่มจากมิ้วเป็นคนเล่าก่อน
“นี่ยัยคีย์ ฉันเจอคนที่ใช่แล้วล่ะ”
“แหม ครั้งที่ 3 ในรอบเดือนแล้วนะ คราวนี้ใครอีกล่ะ”
“ครั้งนี้สุดท้ายแล้วล่ะ ต้องเป็นคนที่ใช่แน่ๆ”
“ให้มันจริงเถอะแม่คุณ ว่าแต่เจอกันที่ไหนล่ะ”
“ใน internet ล่ะ”
“หา!” ฉันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสูงอย่างตกใจก่อนจะเอ่ยถามต่อ “แล้วไว้ใจได้เหรอ เคยเห็นหน้ารึเปล่า ของแบบนี้มันต้องดูกันไปนานๆไม่ใช่เหรอ”
“แหม ยัยคนหัวโบราณ ของแบบนี้น่ะนะแค่คุยกันถูกคอแล้วดูๆ กันไปก่อน ถ้าเห็นว่าใช่ค่อยนัดพบและทำความรู้จักกันก็ได้ หรือถ้าไม่ใช่ก็เลิกติดต่อกัน ก็แค่นั้นแหละ”
“งั้นก็ดีไป ฉันก็นึกว่าแกไปหลงเขาซะแล้ว” ฉันพูดพลางถอนหายใจมือกุมอกไว้อย่างคลายกังวล
“แล้วแกล่ะเมื่อไหร่จะมีเป็นตัวเป็นตนกับเขาบ้างซะที” มิ้วย้อนถามฉันกลับมาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนฉันไม่รู้ว่าจะตอบไปยังไง แต่ระหว่างนั้นเองฉันก็เหลือบไปเห็นคนๆนึงนั่งอยู่ใกล้ๆที่นั่งประจำของฉัน ซึ่งเขาเป็นคนที่ฉันรู้จักและระแวงที่จะได้เจอมาตลอดทาง ‘ธีรเดช’ นั่นเอง
“ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี่ได้
” ฉันถึงกับอึ้งกล่าวขึ้นมากับตัวเองจนไม่ได้สนใจกับคำถามของมิ้วเลย
“หมายถึงใครมาอยู่ตรงไหนเหรอคีย์” มิ้วเอ่ยถามอย่างสงสัยก่อนจะหันไปมองตามสายตาฉันที่เบิกค้างอยู่ “เอ๋ ผู้ชายคนนั้นใครกันน่ะ หล่อใช้ได้เลยนี่นา คนรู้จักเหรอคีย์”
“จะว่ารู้จักก็ใช่ล่ะนะ...” ฉันตอบมิ้วไปอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเอ่ยต่อ “วันนี้พวกเราย้ายที่นั่งกันไหม”
“ทำไมล่ะ เพื่อนเธอก็นั่งอยู่ใกล้ๆที่ประจำเราไม่ใช่เหรอ” มิ้วถามอย่างสงสัยแล้วค่อยยิ้มอย่างทะเล้นแล้วเอ่ยต่อ “อย่าบอกนะว่า กลัวฉันแย่งไปเลยหวงเก็บไว้น่ะ”
“บ้า ไม่ใช่แบบนั้นซะหน่อย” ฉันรีบเอ่ยแย้งทันที
“งั้นทำไมล่ะลองบอกเหตุผลมาสิ”
“จริงๆ แล้วคนๆ นั้นน่ะ เขาเป็นโรคจิต”
“หา!!” มิ้วอุทานเสียงดังลั่น “ไม่จริงน่า ภายนอกก็ออกจะดูดี”
“จริงๆ นะ เมื่อวานนี้เขาตามฉันทั้งวันไม่ว่าฉันจะไปไหนเขาก็จะโผล่ที่นั่น” ฉันพยายามเกลี้ยกล่อมให้มิ้วเชื่อ
“น่ากลัวนะแบบนี้ ไม่นึกเลยคนหน้าตาดีแบบนี้จะเป็นโรคจิตไปซะได้” มิ้วกล่าวพลางถอดถอนหายใจ
“เชื่อฉันเถอะนะ วันนี้ย้ายที่นั่งกันสักวัน”
มิ้วหยุดคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งหลังจากที่ฉันเอ่ยประโยคสุดท้ายออกไปก่อนที่เธอจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วหันมาบอกกับฉันว่า “การหนีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหานะคีย์ พวกแบบนี้ต้องตอกหน้าให้หงายไปเลยจะได้ไม่กล้ามายุ่งกับเธออีก”
“แต่ฉันก็พูดว่าแรงๆกับเขาไปเยอะแล้วนะ แต่ก็นั่นแหละวันนี้เขาก็ยังตามมาที่นี่อีก” ฉันพยายามเอ่ยแย้ง
“เอางี้ เดี๋ยวฉันจะไปจัดการให้เอง พวกตามตื้อไม่เลิกแบบนี้ต้องเจอฉันนี่” พูดจบมิ้วก็จูงมือฉันเดินตรงเข้าไปหาเขาคนนั้นอย่างไม่รอช้าก่อนจะหยุดมายืนอยู่ที่ตรงหน้าแล้วค่อยจัดแจงยืนกอดอกปั้นหน้าเข้มเตรียมที่จะตวาดไล่ชายคนนั้นตามที่คิดไว้ แต่ก่อนนั้นเองฝ่ายนาย ธีรเดชก็พูดอะไรบางอย่างขึ้นมาว่า
“โอ๊ะ กลิ่นหอมโดดเด่นชวนให้หลงใหลดั่งถูกมนต์สะกดแบบนี้ Hypnose สินะครับ” นายธีรเดชกล่าวพลางหันหน้ามาทางมิ้วก่อนยิ้มและโค้งหัวทักทาย
“เอ๊ะนี่....ทำไมถึงรู้ล่ะ” มิ้วถึงกับตะลึงกับสิ่งที่ได้ยินจนกล่าวถามออกไปอย่างไม่รู้ตัวพลางหันมากระซิบถามฉันอย่างเป็นกังวลว่า “วันนี้ฉันใส่น้ำหอมมากเกินไปเหรอแก”
“ไม่นี่ ก็ปกติไม่มากไม่น้อยเกินไป” ฉันกระซิบตอบไปตามที่คิด ระหว่างนั้นเองนายธีรเดชก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มและกล่าวทักทายมิ้วอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ ผมธีรเดชครับ คุณผู้หญิงคนนี้คงเป็นเพื่อนคุณคีย์สินะครับ”
เมื่อแผนที่วางไว้ไม่เป็นไปอย่างที่คิดซ้ำยังถูกตอบกลับมาอย่างไม่คาดคิด สิ่งเดียวที่มิ้วโต้ตอบออกไปได้ก็คือการกล่าวทักทายตอบกลับไป “สะ...สวัสดีค่ะ ฉันมิ้วเพื่อนของคีย์ค่ะ”
“ต้องขอโทษที่เมื่อกี้เสียมารยาทไปด้วยนะครับ พอดีผมเคยคลุกคลีอยู่วงการน้ำหอมอยู่ระยะหนึ่ง แต่ก็ไม่ค่อยจะเจอใครที่มีเซนส์ในการเลือกได้เหมาะกับบุคลิกภาพตัวเองแบบคุณมิ้วเลย ก็เลยเผลอพูดออกไปไม่ทันระวังตัว”
ได้ยินเท่านั้นเพื่อนคนเก่งของฉันก็ถึงกับเตลิดสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยทีเดียว เพราะมิ้วเป็นคนที่ชอบสะสมน้ำหอมมากแต่ก็มีน้อยคนที่จะสามารถคุยเรื่องนี้กับเธอได้อย่างถูกคอ และยิ่งถูกชมซึ่งๆหน้าแบบนี้จึงแทบไม่เหลือมาดดุที่เตรียมมาเลยทีเดียว
“อะ...เอ๊ะ นี่คุณธีรเดชเคยอยู่วงการนี้ด้วยเหรอคะ” มิ้วถามออกไปอย่างใจลอย
“ฮะๆ พูดแล้วก็อายตัวเอง ถึงจะพูดออกไปแบบนั้นแต่จริงๆผมก็เป็นเพียงเอเยนต์ขายสินค้าเท่านั้นเองล่ะครับ”
ฉันมองดูทั้งสองคนคุยกันอย่างเบื่อหน่ายเพราะรู้สึกทุกอย่างมันไม่เป็นไปอย่างที่คิด แถมที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของฉันก็กำลังแปรพรรคไปคุยกับนายตัวปัญหานั่นอย่างสนิทสนม
“จริงสิ” นายธีรเดชเอ่ยขึ้นมาราวกับพึ่งนึกอะไรบางอย่างได้ ก่อนจะสอดมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าของเสื้อสูทหยิบขวดแก้วขนาดเล็กเท้าหัวแม่โป้งที่ภายในบรรจุของเหลวสีใสเอาไว้ภายใน “นี่เป็นสินค้าตัวใหม่ของ Christian Dior ที่ยังไม่เปิดจำหน่ายชื่อ ‘Dior Addict
ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าเพื่อนสนิทคนเก่งที่ขนาดผู้ชายพากันหวั่นเกรงในความสามารถรอบด้านบัดนี้กำลังยืนอึ้งตาค้างอุทาน “หา!”เสียงดังลั่นจนต้องยกมือมาป้องปากที่กำลังเปิดอ้าด้วยความดีใจจนฉันสัมผัสได้อย่างชัดเจน
“พะ...พูดจริงเหรอคะ ของสำคัญแบบนี้เอามาให้ฉันจะดีเหรอคะ...” มิ้วถามอย่างตื่นเต้น แววตาทอประกายราวกับเด็กๆที่ถูกเอาขนมมาล่อ
“ต้องดีสิครับ” ธีรเดชยิ้มตอบอย่างยินดี “ผมคิดว่าหากน้ำหอมขวดนี้สามารถพูดได้ละก็ เขาต้องบอกว่า ‘ขอให้ผมได้อยู่กับสาวสวยคนนี้ที่รู้คุณค่าของผมด้วยเถอะคร้าบบ’ แน่ๆ เลยล่ะครับ” ไม่เพียงแต่พูดเปล่าเขาค่อยๆ เอื้อมมือมาจับมือของมิ้วไว้อย่างนุ่มนวล ก่อนที่จะวางเจ้าขวดน้ำหอมนั้นลงบนฝ่ามือของมิ้วช้าๆ....โดยที่สีหน้าของเขายังคงยิ้มอย่างละไมตลอดเวลา
ทันใดนั้นเองใบหน้าของมิ้วก็ค่อยๆ แดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดลมหายใจก็หอบถี่ขึ้นๆ มือกุมขวดน้ำหอมไว้แน่นก่อนจะพูดเสียงค่อยออกมาด้วยปากที่สั่นเล็กๆ ว่า “ขะ...ขอบคุณค่ะ...” แล้วค่อยๆก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างอายๆ ก่อนจะหันมาดึงมือฉันวิ่งออกไปอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวแล้วกล่าวทิ้งท้ายไว้สั้นๆว่า “งั้นฉันขอไปทดลองใช้ดูเลยละกันนะคะ”
มิ้วลากฉันวิ่งออกมาอย่างไม่คิดที่จะสงวนท่าทีจนถึงด้านนอกโบสถ์เธอก็หยุดวิ่งแล้วหันมาสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดแล้วปล่อย ‘กรี๊ด’ แบบกลั้นเสียงออกมาในขณะที่เท้าก็ย่ำพื้นอยู่กับที่อย่างไม่สนใจคนรอบข้างที่เดินไปมา
“อะไรกันเนี่ยยยย ยัยคีย์ ผู้ชายคนนั้น” มิ้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสูงอย่างตกตะลึง
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนแบบนี้จะมีอยู่บนโลกนี้ด้วย”
“ใช่ ฉันก็ว่างั้นล่ะ ผู้ชายบ้าๆ แบบนี้ก็มีด้วย พึ่งเคยเจอกันครั้งแรกก็มาทำตีสนิท แย่จริงๆ” ฉันกล่าวสมทบ
“ใช่ที่ไหนกันล่ะยัยคีย์” มิ้วรีบแย้งสวนขึ้นมาทันที
“ที่ฉันหมายถึงน่ะ คือฉันไม่เคยเจอใครที่เพียบพร้อมขนาดนี้มาก่อนเลย” มิ้วกล่าวต่อ
“หา!” ฉันอุทานอย่างสงสัย
“ตาคนนี้เนี่ยนะเหรอ เพียบพร้อม”
ฉันถามออกไปเพราะคิดอย่างนั้นจริงๆ ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นๆจะมองเขาด้วยสายตายังไงแต่สำหรับตัวฉันที่ถูกขอให้มาเป็นแฟนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบและได้ยินเรื่องเล่าเมื่อวานนี้แล้ว ฉันไม่อาจจะสรุปได้จริงๆ ว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่ และมีเหตุผลอะไรที่ต้องคอยตามฉันแบบนี้
“ฟังฉันอยู่รึเปล่าคีย์” มิ้วเขย่าตัวเรียกฉันที่กำลังเหม่อคิดถึงเรื่องต่างๆ ของเขาคนนั้น
“อะ ขอโทษทีไม่ทันได้ฟังเมื่อกี้ว่าไงนะ”
“ฉันถามว่า เธอกับคุณธีรเดชไม่ได้เป็นอะไรกันแน่ๆ ใช่ไหม” มิ้วยื่นหน้ามาถามฉันด้วยสีหน้าจริงจังตาจ้องตาฉันเขม็ง
“ถะ...ถามอะไรน่ะมิ้ว ก็ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ได้เป็นอะไรกัน” ฉันตอบพลางหันหน้าหลบไปทางด้านข้างอย่างไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงต้องทำอย่างนั้น
“เอาเถอะ ถือว่าฉันให้โอกาสเธอไปแล้วนะ” มิ้วถอยกลับไปแล้วยิ้มอย่างมาดมั่นราวกับตัดสินใจอะไรบางอย่างได้พร้อมกับเอ่ยคำพูดต่อมาว่า “ถ้าเธอไม่ได้เป็นอะไรกับเขาคนนั้นจริงๆ งั้นผู้ชายคนนี้ฉันขอนะ”
วาบแรกที่ได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากของมิ้วฉันรับรู้ได้ทันทีว่าเธอไม่ได้พูดเล่น เพราะแววตาของเธอทอประกายมุ่งมั่นที่บ่งบอกถึงความตั้งใจที่เห็นได้บ่อยครั้งในเวลาทำงานเธอมักจะมีแววตาแบบนี้เสมอ เมื่อจ้องมองไปที่ดวงตาคู่นั้นของเธอทำให้ใจฉันรู้สึกอะไรบางอย่างที่ในเวลานี้ฉันไม่สามารถอธิบายได้เลยว่ามันคืออะไร
“ขอ นี่หมายความว่าไงเหรอมิ้ว แล้วคนที่เธอบอกว่าใช่แล้วนั่นล่ะ” ฉันฝืนตอบไปทั้งอย่างนั้น
“นี่ คีย์เธอบ้าหรือเปล่า” มิ้วตอบกลับมาอย่างทันควัน แต่ครั้งนี้น้ำเสียงและแววตาของเธอกลับได้เหมือนก่อนนี้ไม่ “คนดีๆมายืนอยู่ตรงหน้าแบบนี้ ไม่คว้าเอาไว้แล้วจะให้ไปหาใครที่ไหนอีกล่ะ”
ใจฉันยิ่งรู้สึกแปลกยิ่งขึ้นคล้ายถูกใครเอาเข็มมาทิ่มแทงหลังจากที่ได้ฟังคำพูดนี้จากปากของเพื่อนรักเพื่อนสนิทคนนี้ไม่ใช่เพราะโกรธเคือง แต่เป็นความขุ่นข้องใจที่ไม่อาจจะหาคำตอบได้ จนท้ายที่สุดฉันจึงเลือกที่จะทิ้งมันไป
“กะ...ก็ตามใจเธอสิ ฉันไม่ได้เป็นอะไรกับหมอนั่นนี่นา แต่...เธอก็ระวังไว้บ้างล่ะ พึ่งรู้จักเขาไม่นานเอง”
“จ้า ขอบคุณนะที่เป็นห่วง แม่เพื่อนรัก” มิ้วยิ้มตอบอย่างสมใจมือก็เปิดขวดน้ำหอมที่ได้รับมาลองดมดูเบาๆ ก่อนจะลองใช้มือแตะเพียงเล็กน้อยออกมาทาบนหลังใบหู “งั้นพวกเรากลับเข้าไปกันเถอะ”
“ฉัน...รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อยน่ะมิ้ว”
“เอ้า อยู่ๆเป็นอะไรขึ้นมาล่ะเมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลยนี่นา”
“จู่ๆ มันก็หน้ามืดขึ้นมา ฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่า”
“ไหวไหมแก ฉันไปส่งดีกว่าไหม”
“ไม่ต้องหรอก ไม่ได้เป็นอะไรมาก คิดว่ากลับไปนอนพักสักหน่อยคงดีขึ้น”
“งั้นก็เอาตามแกว่าละกัน ให้ดีอย่าประมาทไปหาตรวจไว้แต่เนิ่นๆ ก็ดีนะ”
“จ้า เธอก็ไปกันให้ดีนะ ฉันไปละ”
ฉันหันหลังเดินออกมาหลังจากล่ำลามิ้วเสร็จ จากนั้นฉันพยายามใช้เวลาถามตัวเองว่า “นี่ฉันเป็นอะไรกันนะ ทำไมฉันต้องโกหกออกไปแบบนั้น ทั้งๆ ที่ตัวฉันก็ไม่ได้เป็นอะไร แต่พอได้ยินคำพูดประโยคนั้นของมิ้วแล้วฉันรู้สึกเจ็บที่ใจขึ้นมาจนทนสู้หน้าเขาไม่ได้”
แม้ฉันจะพยายามครุ่นคิดหาคำตอบสักเท่าไรสิ่งที่ได้กลับว่างเปล่า จนฉันรู้สึกเหนื่อยไปกับมันและคิดที่จะกลับไปพักผ่อนเพื่อที่จะเลิกคิดเพื่อที่จะลืมมันซะ ระหว่างที่ฉันกำลังเลือกว่าจะกลับยังไงนั้นฉันได้เหลือบไปเห็นเงาของใครบางคนสะท้อนมาจากกระจกตรงป้ายรถเมล์
ซึ่งก็คือเขา ‘ธีรเดช’ ที่กำลังวิ่งมาทางฉันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทันใดนั้นเองฉันก็รู้สึกได้ถึงเสียงที่ดังก้องออกมาจากใจของฉันว่าให้รีบหนีไปให้ไวที่สุด ไม่อยากที่จะเจอหน้า ไม่อยากที่จะได้ยินเสียงหรือพูดคุยกับเขาคนนี้อีกเพราะหาไม่แล้วฉันคงทนไม่ได้ที่จะต่อว่าเขาไปแรงๆ เพื่อให้เขาถอยกลับไป
ทันทีที่คิดได้ดังนั้นขาฉันก็พลันก้าวออกไปรีบขึ้นรถแท็กซี่คันที่จอดใกล้ที่สุดเท่าที่ฉันจะสามารถวิ่งไปได้ จากนั้นจึงรีบบอกจุดหมายปลายทางให้กับคนขับทราบพร้อมกับกำชับอย่างร้อนรน “รีบออกรถทันที” ทันทีที่รถเริ่มแล่นไปใจฉันก็รู้สึกโล่งขึ้นมาบ้าง
“อย่างน้อยวันนี้ก็คงไม่ต้องเจอกันแล้วล่ะนะ” ฉันรำพันกับตัวเองในใจแม้จะวิตกกังวลว่าเขาคงจะรู้บ้านของฉัน แต่อีกฟากนึงของหัวใจก็กลับเชื่อมั่นว่าเขาคงไม่ทำแบบนั้น ระหว่างที่ฉันยังคงคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียว ทันใดนั้นเองจู่ๆ ก็เกิดเสียง “โครม” ดังสนั่นพร้อมกับความเจ็บปวดมากมายที่ประดังเข้ามาอย่างรุนแรงก่อนที่ฉันจะสิ้นสติไป
ฉันไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ไม่มีโอกาสแม้จะออกปากร้องสิ่งเดียวที่ฉันรับรู้ได้ในเวลานี้คือ รอบข้างที่มืดสนิทเวิ้งว้าง ไร้เสียงไร้ผู้คน ความมืดที่หนักอึ้งจนไม่สามารถจกยกแขนหรือส่งเสียงเรียกหาผู้ใดได้ เป็นความรู้สึกที่แสนทรมานจนสุดจะหยั่ง จนถึงขีดสุดของความอดกลั้นฉันใช้แรงทั้งหมดที่มีพยายามเปล่งเสียงออกมาสุดชีวิต
จนในที่สุดฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้น ซึ่งนั่นทำให้ฉันโล่งอกที่เมื่อครู่เป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ทันใดนั้นเองฉันก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเกี่ยวกับตัวเองอย่างแรก ก็คือบนหน้าของฉันอะไรบางอย่างลักษณะคล้ายกับผ้าผืนเล็กๆ พันรอบศีรษะทับดวงตาทั้งสองของฉันเอาไว้
เมื่อฉันพยายามแกะมันออกแล้วลืมตาขึ้นกลับพบว่า....ดวงตาทั้งสองของฉัน....ไม่สามารถมองอะไรได้เลย ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่ความมืด และความเจ็บปวดที่ถาโถมผ่านดวงตาสองข้างเข้ามาพร้อมกับความหวาดกลัวจนถึงขีดสุดจนระเบิดออกมาเป็นเสียง ‘กรี๊ด’ ที่ดังลั่น
ทันใดนั้นเองคนกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาจับตัวฉันและพยายามพูดอะไรบางอย่าง ซึ่งในเวลานั้นฉันไม่เหลือเรี่ยวแรงพอที่จะตั้งใจฟังมันได้เข้าใจ แต่นั่นยิ่งกระตุ้นความกลัวของฉันให้เตลิดมากขึ้นจนฉันพยายามดิ้นสะบัดมือที่เอื้อมมาจับนั้นให้หลุด
แต่ยิ่งฉันดิ้นรนมากเท่าไหร่จำนวนมือที่เข้ามาจับฉันยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดมือคู่หนึ่งก็ดึงแขนฉันออกมาด้านนอกพร้อมกับกดไว้ไม่ให้ฉันดึงกลับเข้ามา ก่อนที่จะมีอะไรบางอย่างแทงมาที่แขนข้างนั้นจนฉันรู้สึกเจ็บแปล๊บ จากนั้นเรี่ยวแรงของฉันก็ค่อยๆ หมดไปพร้อมกับสติอีกครั้ง
ไม่ว่าความเป็นจริงแล้วเวลาผ่านไปนานเท่าไรแต่ก็คล้ายเพียงชั่วพริบตา ฉันตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับความมืดรอบด้านทำให้ฉันแน่ใจว่า ‘นี่ไม่ใช่ความฝัน’ ทันใดนั้นความหม่นหมองเหลือคณานับก็ผุดขึ้นมาพร้อมกับน้ำตาที่ค่อยๆ ไหลออกมาจากดวงตาที่มืดสนิททั้งสองข้าง
ภายในใจก็ คิดไปต่างๆ นาๆ ถึงอนาคตอันมืดมนที่รออยู่จนแทบไม่อยากจะมีชีวิตต่อไปแม้อีกวินาทีเดียวก็ตาม แต่ทว่าทันใดนั้นเองได้มีเสียงของคนๆ หนึ่งที่ฉันพึ่งจะรู้จักได้ไม่นานดังขึ้นทลายความรู้สึกหดหู่นั้นจนหายไป “รู้สึกตัวแล้วเหรอครับคุณคีย์”
เจ้าของเสียงนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ‘นายธีรเดช’ นั่นเอง ถึงแม้ว่าฉันจะมีทัศนคติแง่ลบกับเขาคนนี้อยู่มากแต่ในเวลานี้เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ฉันรู้จัก จึงทำให้ฉันรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างว่าอย่างน้อยๆ ฉันก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในเวลานี้
“คงตกใจมาสินะครับกับเรื่องที่เกิดขึ้น” เขากล่าวต่อพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินมาเข้ามาใกล้
“มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน แล้วฉันอยู่ไหนตอนนี้ ฉันกลายเป็นคนพิการไปแล้วใช่ไหม” ฉันรีบถามในหลายๆ อย่างที่รู้สึกสงสัยอย่างเคร่งเครียดและหวังว่าจะได้รับคำตอบที่ชัดเจนกลับมา
แต่คำแรกที่เขาตอบฉันออกมากลับเป็น“อุ...หึหึ” เสียงหัวเราะเบา จนฉันแทบจะทำอะไรไม่ถูกเลยนอกจากคิดได้แต่เพียงว่า “นี่เขาเห็นฉันในสภาพนี้ดูน่าตลกนักหรือ” แต่แล้วยังไม่ทันที่จะขาดคำฉันก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสที่บางเบาของมือข้างหนึ่งลูบที่ศีรษะของฉันอย่างอ่อนโยน
“ใจเย็นๆ นะครับ ผมจะคอยอยู่ตรงนี้ตอบทุกคำถามของคุณเอง การที่ใจร้อนกระวนกระวายแบบนี้ไม่สมกับเป็นคุณคีย์คนเก่งที่ผมรู้จักเลย” เขาเปล่งเสียงออกมาค่อยๆ อย่างละมุนละม่อมจนฉันต้องเบือนหน้าหนีอย่างไม่รู้ตัวแม้จะมองไม่เห็นก็ตาม
“ฉวยโอกาสกับคนป่วยแบบนี้ ยังเป็นผู้ชายที่แย่เหมือนเดิมเลยนะคะ...” ฉันตอบกลับไป “ขอโทษนะครับ” และเขาก็ตอบกลับมาเบาๆ ซึ่งไม่รู้ว่าด้วยอะไร แต่ฉันมั่นใจว่าตอนที่เขาพูดคำนี้เขาต้องยิ้มอยู่ด้วยอย่างแน่นอน
“ฉันใจเย็นแล้ว...คุณจะเล่าให้ฉันฟังได้รึยังว่าเกิดอะไรขึ้น” ฉันเริ่มถามอีกครั้ง
“ได้ครับ” และเขาก็ตอบรับขึ้นมาทันที “เมื่อสามวันก่อน ขากลับจากโบสถ์ คุณก็ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำครับ” ฉันนิ่งฟังอย่างตั้งใจก่อนจะเอ่ยถามสั้นๆว่า “นั่นเป็นสาเหตุให้ฉันตาบอดใช่ไหม”
เขารีบตอบกลับทันทีหลังจากพูดจบว่า “วางใจเถอะครับ มันไม่ได้ร้ายแรงถึงขั้นนั้น คุณเพียงแค่สมองกระทบกระเทือนจนทำให้ประสาทรับภาพบกพร่อง แต่รักษาตัวอีกไม่นานก็จะกลับมามองได้เป็นปกติ”
ฉันมีความหวังขึ้นมาทันทีที่ได้ยินดังนั้นจึงรีบถามต่อไปทันทีว่า “แล้วเมื่อไหร่ล่ะ เมื่อไหร่ฉันจะหายเป็นปกติ”
“เท่าที่ทราบมา คงราวๆ สองถึงสามเดือนได้ครับ”
“แล้วนี่ฉันหลับไปนานแค่ไหนแล้ว”
“วันนี้เป็นวันที่สามครับ”
แม้จะดีใจที่ระยะเวลาไม่ได้นานเกินไปแต่ฉันยังรู้สึกกังวลในเรื่องงานที่ทำอยู่ แต่ก่อนที่ฉันจะเอ่ยอะไรออกไปนั้นเขาก็พูดขึ้นมาก่อนพอดีว่า “ส่วนเรื่องงานไม่ต้องกังวลไปนะครับ ตอนนี้การดีลกันระหว่างบริษัทคุณกับ HB ผ่านเรียบร้อยแล้ว เหลือก็แค่ส่งมอบของเท่านั้น และเจ้านายคุณก็ตั้งใจจะให้คุณพักร้อนยาวเป็นโบนัสพิเศษอยู่แล้วด้วย ดังนั้นพักรักษาตัวให้สบายใจเถอะนะครับ”
“ไม่เป็นอะไรแน่เหรอ...” ฉันถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“แน่สิครับ เมื่อเช้าคุณทรงชัยก็เอากระเช้ามาเยี่ยม”
“เขาได้พูดอะไรกับคุณบ้างเหรอคะ”
“เขาบอกผมว่า หากเสียคุณไปก็เหมือนธุรกิจล้มละลายไปครึ่งหนึ่ง หากคุณให้ความสำคัญกับบริษัทต้องรักษาตัวให้หายดีโดยเร็วครับ”
เป็นอีกครั้งที่ฉันรับรู้ได้ถึงรอยยิ้มบนใบหน้าเขาลอยขึ้นมา ทำให้ฉันนึกย้อนถึงครั้งแรกที่ฉันตื่นมาแล้วไม่เจอใครนอกจากความมืดมิด ฉันรู้สึกสิ้นหวังหมดอาลัยจนทำอะไรไม่ถูก แต่ครั้งนี้ความทุกข์ความเศร้านั้นได้เบาบางลงจนเกือบจะหายไป หาใช่เพราะว่าปัญหาทุกอย่างคลี่คลายไปด้วยดี แต่ฉันรู้สึกได้ว่าเพราะมีเขาคนนี้อยู่ ชายที่ทำเรื่องที่ไม่น่าเชื่อให้เป็นไปได้ แค่มีเขาอยู่ใกล้ๆ ก็รู้สึกว่าอุปสรรคทั้งหลายมันช่างง่ายดายที่จะฟันฝ่าข้ามไป
“เดี๋ยวคงได้เวลาที่ผมจะต้องไปแล้วนะครับ” จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น
“ตอนนี้กี่โมงแล้วเหรอคะ” ฉันเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เกือบห้าทุ่มแล้วล่ะครับ” เขากล่าวตอบอย่างนุ่มนวล “เกรงว่าถ้าอยู่นานกว่านี้คุณคีย์คงจะไม่สะดวกสักเท่าไหร่ ไว้พรุ่งนี้ผมจะรีบมาแต่เช้า”
แม้จะรู้สึกเห็นด้วยแต่ก็รู้สึกใจหาย “แล้วนี่...ฉันต้องอยู่คนเดียวต่อสินะคะ”
“เดี๋ยวพยาบาลพิเศษก็จะมาหลังผมกลับไปเองครับ แต่ถึงยังไงซะคุณคีย์ก็ควรจะพักผ่อนให้มากๆ ล่ะครับ”
“ค่ะ” ฉันตอบเพียงสั้นๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่านี้
หลังจากล่ำลากันพอเป็นพิธีเขาก็กลับไป จากนั้นไม่นานพยาบาลพิเศษก็เข้ามาดูแลฉันเป็นอย่างดี แต่อย่างไรเสียความรู้สึกบางอย่างก็หายไป พร้อมกับเขา
จนเวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่าจนในที่สุดเขาก็มาอีกครั้งตามที่สัญญาไว้ พร้อมกับกล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่แจ่มใส “อรุณสวัสดิ์ครับคุณคีย์ เมื่อคืนหลับสบายดีรึเปล่า”
“นอนมาตลอดสามวัน จะให้นอนสบายอีกก็คงแย่แล้วล่ะค่ะ”
“นั่นสินะครับ ผมนี่ถามไม่คิดซะเลย” พูดจบเขาก็เดินมาเอาของบางอย่างที่ใส่ถุงพลาสติกไว้มาวางตรงใกล้ๆ กับเตียงคนป่วย
“ที่เอามาด้วยนี่อะไรเหรอคะ” ฉันถามอย่างสนใจ
“ส้ม น่ะครับ พอดีระหว่างทางผมเห็นข้างทางขายผลสวยดี ผมเลยซื้อมาเป็นของเยี่ยมไข้น่ะครับ”
ทันทีที่ได้ยินชื่อเจ้าของที่เขานำมานั้นฉันแทบจะหลุดปากอุทาน “ยี้” ออกไป ไม่ใช่เพราะไม่ชอบของที่เขาเอามาฝาก แต่ฉันมีพฤติกรรมทานส้มค่อนข้างประหลาด คือต้องถอนขนแล้วผ่าเอาเม็ดออกก่อนถึงทานได้ไม่อย่างนั้นแล้วจะกลืนไม่ลง แต่ครั้นจะปฏิเสธก็กลัวเขาจะเสียน้ำใจจึงทำได้แค่พูดฝืนๆ ไปว่า “ขอบคุณค่ะ” แล้วตั้งใจที่จะชิมเป็นพิธีสักคำสองคำ
“เดี๋ยวรอสักครู่นะครับ ผมปอกเสร็จจะเอาไปให้” ไม่นานนักหลังจากที่พูดจบเขาก็เลื่อนโต๊ะทานข้าวผู้ป่วยที่ติดกับเตียงนอนขึ้นมา “อยู่ตรงหน้าแล้วนะครับ เชิญตามสบายเลย”
ฉันค่อยๆ ยื่นมือออกไปสัมผัสที่ขอบจานได้โดยง่าย จากนั้นจึงค่อยๆ เลื่อนมือไปแตะที่กลางจานช้าๆ ทันทีที่ฉันสัมผัสถึงผิวของกลีบส้มที่อยู่ตรงนั้นฉันรู้สึกแปลกใจทันทีเพราะนอกจากจะปอกเปลือกผ่าเอาเมล็ดออกทุกกลีบแล้วฉันยังไม่สัมผัสได้ถึงขนกลีบส้มเลยแม้แต่น้อย
“นักสืบที่คุณจ้างมาเนี่ยคงจ่ายแพงมากเลยสินะคะ แม้แต่เรื่องส่วนตัวแบบนี้ก็ยังรู้ได้” ฉันกล่าวค่อนขอดแกมหยอกกลับไปทันที พร้อมกับหยิบกลีบส้มมาก้มหน้าทานชิ้นหนึ่งเพื่อกลบรอยยิ้มของตัวเอง
“แพงสิครับ” เขาตอบกลับมาเสียงค่อยผิดไปจากทุกที “ผมต้องใช้เวลากว่าสิบปี เป็นค่าจ้างนักสืบคนนี้เลยทีเดียว”
น้ำเสียงที่เคยสดใสร่าเริงอยู่ตลอดเวลาของเขาบัดนี้กลับแปรเปลี่ยนไปเป็นขุ่นมัวและแฝงด้วยความเศร้าก่อนที่เขาจะพูดออกมาต่อด้วยน้ำเสียงที่กลับมาเป็นปกติว่า “เดี๋ยวผมขอตัวไปคุยกับหมอสักครู่นะครับ เชิญคุณคีย์ทานตามสบายนะครับ”
พูดจบเขาก็เดินออกไปทิ้งให้ฉันนอนคิดอยู่ลำพังว่าคำที่กล่าวออกมาอย่างเศร้าสร้อยนั้นฉันได้คิดไปเองรึเปล่านะ คิดอยู่อย่างนั้นได้ไม่นานก็ฉันก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเสียงทักทายที่แหลมกังวาน “แหม นึกว่าสภาพจะแย่กว่านี้ซะอีกนะคีย์”
เจ้าของเสียงนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน มิ้วนั่นเอง “นี่เป็นคำพูดเวลามาเยี่ยมเพื่อนสนิทเหรอยะ” ฉันเอ่ยทักทายตอบกลับไป
“ก็ดูสิ ฉันรึรีบสะสางงานให้เสร็จจะได้รีบมาดูแกว่าเป็นยังไงบ้าง กลับมานอนกินส้มสบายใจเป็นเจ้าหญิงแบบนี้”
“งั้นคุณแม่เลี้ยงเจ้าหญิงจะมานี่เพื่อเยี่ยมรึบ่นกันแน่ล่ะยะ”
แม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่ปกติแต่พวกเราสองคนก็ยังคงเฮฮากันได้ ในเวลานั้นฉันทั้งปลื้มและดีใจที่มิ้วมาเยี่ยมจนแทบจะลืมไปด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองจนมิ้วเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “ว่าแต่ส้มนี่ใครซื้อมาฝากกันล่ะ แถมปอกซะละเอียดขนาดนี้คงไม่ใช่พยาบาลแน่ๆ”
“มะ...มีคนเอามาฝากน่ะ” ฉันตอบเลี่ยงๆ ไปเพราะพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่ามิ้วสนใจนายธีรเดชอยู่
“แหม นอกจากฉันแล้วมีใครเขารู้รสนิยมการทานส้มที่แสนจะยุ่งยากของเธอด้วยรึไง” มิ้วเริ่มซักไซ้ต่อ “เอาเถอะถึงเธอจะไม่บอกฉันก็พอจะเดาได้ว่าใคร”
“แล้วเธอกับนายธีรเดชล่ะไปถึงไหนแล้ว” ฉันพยายามเปลี่ยนเรื่องคุยแต่ก็ยังไม่วายอยากรู้ความสัมพันธ์ของทั้งสอง
“ฉันอกหักแล้วล่ะ” มิ้วรีบตอบกลับมาทันที
“อ้าวทำไมล่ะ” ฉับถามกลับไป
ครั้งนี้มิ้วเงียบไปแล้วเดินมาเอามือขยี้ผมฉันเล่นก่อนจะกอดฉันแน่น “ก็เพราะยัยเจ้าหญิงที่นอนอยู่ตรงนี้ไงทำฉันอกหัก”
“หา!” ฉันอุทานด้วยความตกใจ “ฉันไปทำอะไรตอนไหนกัน จากวันนั้นฉันก็อยู่โรงพยาบาลมาตลอด” ฉันรีบปฏิเสธกลับไปทันทีโดยที่ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น
“แล้วเธอคิดว่าใครกันล่ะที่พาเธอมาโรงพยาบาล” คำพูดของมิ้วทำให้ฉันฉุกใจคิดขึ้นมาได้จึงขอให้มิ้วเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมดที่ฉันไม่รู้ตอนหมดสติไป
ซึ่งมิ้วก็ตอบรับคำของฉันค่อยๆ เล่ามาว่า “หลังจากรู้ว่าเธอกลับไป คุณธีรเดชเขาก็รีบวิ่งตามเธอออกไปทันทีอย่างไม่สนใจฉันรึใครเลย”
“จากนั้นรถเธอก็ชนเข้ากับรถโดยสารที่ข้ามมาจากอีกฝั่ง จนไฟลุก คนที่สัญจรไปมาต่างก็พากันหนีกันอลหม่านเพราะกลัวรถจะระเบิด มีแต่เขานี่แหละที่วิ่งสวนเข้าไปเอาเธอออกมา”
“พูดเป็นเล่นไป อย่างกะในหนังแน่ะ” ฉันพยายามเอ่ยแย้งเพราะเรื่องที่ได้ยินมันยิ่งกว่าที่ฉันจะคิดได้
“แล้วเธอคิดว่าที่ตามเนื้อตามตัวเธอไม่มีแผลไฟลวกเลย เพราะอะไรล่ะ”
“แต่จะว่าเธอก็ไม่ได้นี่นะ เธอไม่เห็นแผลไฟลวกของเขานี่นา”
“เขาได้แผลด้วยเหรอ เป็นอะไรมากไหม” ฉันตกใจมากรีบถามออกไปด้วยเสียงดังลั่นจนมิ้วต้องเอื้อมมือมาจับไหล่ฉันแล้วบอกให้สงบใจไว้ “เขาไม่เป็นไรหรอก ตอนเจอกันเมื่อกี้นี้ก็ไม่ได้ใส่ผ้าพันแล้ว”
ฉันค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินดังนั้นแต่พอมาทวนคำพูดของมิ้วดีๆ อีกทีฉันก็รู้สึกตะขิดตะขวงใจขึ้นมาจึงรีบพูดมาอย่างตกใจกว่าเดิม “เห้ย งั้นก็แปลว่าแกเจอกับนายธีรเดชนั่นแล้วน่ะสิ!”
“ก็เจอแล้วน่ะสิ แต่ฉันอยากรู้ว่าแกจะทำท่าทางยังไงบ้าง เท่านั้นเอง โฮะๆ” ฉันรู้สึกอายขึ้นมาจนทำอะไรไม่ถูกได้แต่ก้มหน้าไปมาต่อเสียงหัวเราะมิ้ว “ว่าแต่เรื่องส้มนี่แกก็บอกนายคนนั้นเหรอ” ฉันถามมิ้วต่อ
“เปล่านิ ที่ฉันคุยกับเขาก็มีแค่ถามสารทุกข์สุขดิบของเขา ไม่พูดเรื่องแกหรอก”
“ว่าแต่ทำไมกะเรื่องส้มนี่เหรอ”
“เปล่าหรอกมันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้นเองไม่มีอะไร”
เราสองคนคุยกันต่อสักพักนายธีรเดชก็กลับเข้ามา แล้วมิ้วก็ขอตัวกลับไปจัดการกับงานของเธอต่อ สบโอกาสฉันจึงถามเขาไปว่า “ทำไมถึงไม่เล่าเรื่องแผลไฟลวกนั่นล่ะคะ” ซึ่งเขาก็นิ่งเหมือนตกใจไปชั่วขณะกับคำถามนี้
“แค่สะเก็ดไฟเล็กๆโดนใส่เท่านั้นเองล่ะครับไม่มีอะไรมาก”
เขาตอบพลางหัวเราะแหะๆ เบาๆ เหมือนว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ แต่ทว่าเพียงแค่นั้นไม่ทำให้ฉันปักใจเชื่อได้ “ถ้างั้นขอฉันจับที่มือของคุณหน่อยได้ไหมคะ” ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เขาต้องชะงักไป และพยายามจะบ่ายเบี่ยงแต่พอฉันพูดย้ำไปอีกครั้งเขาก็ยอมแต่โดยดี โดยการยื่นมือทั้งสองข้างมาให้ฉันจับ
สัมผัสแรกที่ฉันวางมือลงไป ฉันรู้สึกได้ถึงความหนาของฝ่ามือ ทำให้รู้ได้เลยว่าแม้เขาจะมีมาดเป็นนักธุรกิจแต่ชีวิตเขาคงเคยผ่านงานใช้แรงมาไม่น้อย เมื่อฉันลองลากนิ้วไปต่อจึงพบกับส่วนที่ผิวหนังดูแปลกไป ทั้งไร้ขนและนุ่มกว่าปกติ จนเกือบจะทั่วทั้งมือ
“แผลพวกนี้จะรักษาหายไหมคะ” ฉันถามอย่างเป็นกังวล
“หายสิครับ การแพทย์สมัยนี้ก้าวหน้าจะตาย” เขากล่าวตอบอย่างนุ่มนวลราวกับกลัวฉันเป็นกังวล
“สัญญานะคะว่า เมื่อใดก็ตามที่ฉันกลับมามองเห็น แผลพวกนี้จะหายไป” ฉันถามย้ำอีกครั้งให้แน่ใจ
“ได้สิครับ ผมสัญญา” เขารีบตอบรับกลับมาทันที
หลังจากนั้นเขาก็อยู่เป็นเพื่อนฉันจนดึกและขอตัวกลับไปตามปกติ ในช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันฉันได้เห็นอีกด้านหนึ่งของเขาที่สนุกสนานเฮฮา ทำให้ฉันหัวเราะได้ทุกนาทีจนเสียงแห้งไปหมด ซึ่งเพราะแบบนั้นเองเวลาที่เขาไม่อยู่ ห้องนี้ ไม่สิ....ฉันกลับยิ่งรู้สึกเหงามากขึ้น
แต่พอวันรุ่งขึ้นเขาก็จะมาในช่วงเช้าสม่ำเสมอและทุกๆ วันก็จะมีอะไรที่ทำให้ฉันเพลิดเพลินใจต่างกันไปได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่ฉันชอบ หนังสือที่น่าสนใจ แม้แต่หนังที่ฉันอยากดู เขาก็เปิดให้ฉันฟังแล้วก็พูดบรรยายตามไปจึงทำให้ทุกวันที่มืดมนของฉันสว่างสดใสขึ้นมาราวกับความฝัน
นานวันเข้าฉันเริ่มรู้สึกเคยชินที่มีเขาอยู่ข้างๆ เพราะใจฉันมันร่ำร้องแต่คำเดิมๆออกมาว่า “เหงาเหลือเกิน” ในเวลาที่เขาไม่อยู่ จนวันหนึ่งขณะที่ใกล้จะได้เวลาที่เขาจะต้องกลับไปฉันก็เอ่ยถามเขาไปว่า “ถ้าไม่รังเกียจจะค้างที่นี่ก็ได้นะคะ...”
“ด้วยความยินดีครับ”เขารีบเอ่ยปากรับคำทันทีอย่างไม่รีรอที่จะคิด
นับจากวันนั้นเขาก็มาค้างคืนเฝ้าไข้ฉันทุกคืน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงว่างตัวให้อยู่ในระยะที่เหมาะสมไม่พยายามฉวยโอกาสหรือล่วงเกินแม้สักครั้ง ซ้ำยังคอยติดต่อกับหมอและพยาบาลให้เป็นอย่างดี ตอนจะนอนก็จะรอให้ฉันหลับก่อนแต่พอฉันตื่นเขาก็จะตื่นก่อนฉันทุกที
ในที่สุดห้วงเวลาแห่งความยากลำบากก็ได้ผ่านพ้นไปด้วยดีโดยที่มีเขาคอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอ พอถึงเวลาที่จะต้องแกะผ้าปิดตาออกภาพแรกที่ฉันได้เห็น คือแสงสว่างจ้าจนต้องหรี่ตาลงมองได้ไม่ถนัด แต่เพียงแค่นั้นก็เพียงพอที่ฉันจะเห็นรอยยิ้มที่แสนจะอบอุ่นของเขาที่ส่งมาทางฉันตลอดเวลาพร้อมกับน้ำตาเม็ดเล็กๆ ที่ไหลออกมาจนเขาต้องรีบยกมือขึ้นมาเช็ดออกอย่างอายๆ
ทว่านั่นยังช้าเกินไปเพราะทันทีที่ได้เห็นหยาดน้ำตาหยดนี้ บางสิ่งในใจฉันที่เคยแกร่งก็พังทลายลงราวกับเกิดหลุมใหญ่บนตัวที่ซึมซับความรู้สึกดีๆที่เขามีให้ฉันเสมอมาเข้าไปจนล้นปรี่ออกมาจนอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ปล่อยให้มันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง
“เป็นอะไรไปครับคุณคีย์ เจ็บตรงไหนรึเปล่าครับ” เขารีบเดินเข้ามาถามฉันอย่างห่วงใย
“เปล่าค่ะไม่ได้เป็นอะไร ฉันแค่ดีใจที่มองเห็นแล้ว เห็นในสิ่งที่เคยเห็น และมองเห็นในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยเห็นมาก่อนจนเกือบจะละเลยไป” ฉันตอบเขาไปตามความรู้สึกที่มี เพราะนั่นคือความจริงที่ใจฉันค้นพบ
พอออกจากโรงพยาบาลฉันก็กลับมารักษาตัวต่อที่บ้านก่อนที่จะกลับเข้าทำงานอีกครั้ง ซึ่งนั่นทำให้ฉันไม่มีโอกาสจะได้เจอหรือพูดคุยกับเขาเลยสักครั้งได้แต่จ้องมองเจ้าโทรศัพท์เครื่องน้อยไม่ให้ห่างสายตา พยายามจะกดโทรศัพท์ไปหาเขาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เพราะที่ฉันต้องการในเวลานี้คือแค่ได้ยินเสียงของเขาเท่านั้น.....
ท้ายที่สุดจนค่ำฉันก็ไม่ได้ไปหาเขา เพราะนิสัยเสียของฉันที่ไม่ยอมทำอะไรตามที่ใจเรียกร้อง จึงได้แต่ต้องรอคอยฝ่ายเดียวแบบนี้ “ทำไมฉันถึงได้เป็นคนแบบนี้นะ....” ฉันต่อว่าตัวเองอยู่ในใจแต่ไม่ทันที่จะทำได้นาน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ฉันตกใจมากรีบรับอย่างรนราน
“สะ...สวัสดีค่ะ” ฉันพูดอย่างตะกุกตะกัก ใจเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
“ผีเข้ารึไงยะ พูดซะเพราะเชียว” คนที่โทรมาคือมิ้วนั่นเอง
“อะ....เอ่อ....ว่าแต่แกมีอะไรเหรอ” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องพูดทันทีเพื่อกลบความอายของตัวเอง
“แหม พูดอย่างกะว่าไม่มีกิจห้ามโทรอย่างงั้นล่ะ รึกำลังรอใครโทรมาอยู่ล่ะจ๊ะ” แต่มิ้วรู้ทันแล้วเอ่ยดักคอแกมหยอก “แค่เป็นห่วงเฉยๆ ว่าแกจะเหงารึเปล่าอยู่แต่บ้าน”
พวกเราคุยกันต่ออีกพักใหญ่ส่วนมากจะเป็นเรื่องทั่วไปจนฉันเริ่มจะรู้สึกเพลียจึงขอวางสายไปเตรียมตัวจะเข้านอน “วันนี้คงไม่ได้ยินเสียงเขาแล้วสินะ” ฉันรำพันกับตัวเองอย่างเศร้าๆ แต่ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ฮาโหล” ฉันหยิบโทรศัพท์มารับอย่างเนือยๆ แต่ทันทีที่ได้ยินทางนั้นเอ่ยปากตอบกลับมาตาฉันก็สว่างขึ้นมาทันที
“สวัสดีครับ คุณคีย์ ขอโทษที่โทรมารบกวนเวลาดึกนะครับ ไม่ทราบว่าหลับไปรึยัง” แค่ได้ยินเสียงฉันก็จำได้ทันทีว่าเป็นเขา ‘ธีรเดช’
“ยะ...ยังค่ะ กำลังจะหาอะไรทำตอนว่างๆอยู่พอดี” ฉันรีบตอบเลี่ยงไปทันที
“อ่า เหรอครับ ว่าแต่อาการเป็นยังไงบ้างครับ”
เขาเริ่มจากถามถึงสารทุกข์สุขดิบของฉันอย่างเป็นห่วง จากนั้นก็คุยเรื่องอื่นๆ ไปตามแต่จะนึกออกมาได้ซึ่งฉันก็รับฟังและพูดตอบอย่างมีความสุขมากจนกระทั่งไม่รู้สึกว่าง่วงนอน ไม่รู้สึกเหนื่อยหรือเพลียแต่อย่างใด ฉันอยากจะบอกเขาเหลือเกินว่าฉันรู้สึกดีมากแค่ไหนที่ได้ยินเสียงของเขา
จากนั้นทุกคืนพอถึงเวลานี้เขาก็จะโทรมาทุกครั้งและทุกครั้งคอยเตือนคอยถามฉันอย่างห่วงใยในทุกๆอย่างจนฉันรู้สึกกับตัวเองว่า “ฉันนี่โชคดีเสียจริง” ไม่ช้าอาการของฉันก็หายสนิทจนจะเริ่มกลับเข้าทำงานในสัปดาห์หน้า
พอฉันโทรไปรายงานให้คุณทรงชัยเจ้านายฉันทราบ เขาถึงขนาดจัดงานเลี้ยงรับขวัญ ที่ฉันกลับเข้ามาทำงานได้อีกครั้งขึ้นในคืนวันศุกร์ที่ใกล้จะถึง พอทราบดังนั้นเองฉันก็รู้สึกขึ้นมาได้ว่า ‘คุณ’ ธีรเดชจะต้องแอบทำอะไรให้ฉันประหลาดใจอีกแน่นอน
ครั้งนี้ฉันจึงดัดหลังเขาบ้างโดยการรีบส่ง SMS ไปบอกเขาแต่เพียงสั้นๆว่า “ขอบคุณนะคะ” และเขาก็รีบตอบฉันกลับมาหลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจว่า “เอ๋ ? ขอบคุณเรื่องอะไรเหรอครับ” ถึงเขาจะตอบมาแบบนี้แต่ฉันก็มั่นใจว่าเขาต้องไม่อยู่เฉยโดยไม่ทำอะไรแน่นอนดังนั้นฉันจึงไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้นแล้วเริ่มเดาใจเขา
พอได้คำตอบที่มั่นใจว่าใช่ฉันจึงส่ง SMS ไปหาเขาอีกครั้ง “เรื่องชุดสำหรับงานวันศุกร์ไงคะ” ซึ่งหลังจากนั้นเขาก็ตอบกลับมาให้ฉันแน่ใจตามที่คิด “อ้าวถึงแล้วเหรอครับ ผมนึกว่าจะถึงตอนเช้าวันศุกร์เสียอีก”
ฉันรีบกดโทรศัพท์หาเขาทันทีเพื่อบอกกับเขาไปว่า “ชุดยังไม่ถึงหรอกค่ะ แต่ฉันคิดว่าถ้าเป็นคุณคงจะต้องทำแบบนี้แน่นอนโดยที่ฉันไม่ต้องเอ่ยปาก”
“แหะ แหะ สงสัยผมจะใช้ไม้เดิมบ่อยไปจนเริ่มถูกจับทางได้แล้วสินะครับ” เขาตอบเสียงค่อยมาอย่างอายๆ
“งั้นคราวหน้าก็ต้องใช้ลูกไม้อื่นแล้วนะคะ จะได้ไม่ถูกจับได้อีก” ฉันรีบหยอกกลับไปทันที
“แล้วพอจะเดาได้ไหมครับว่าเป็นชุดแบบไหน” เขาย้อนถามกลับมา
แต่ฉันปฏิเสธที่จะตอบเขาไปเพราะอยากรู้ว่าตรงกับที่ตัวเองคิดไว้ไหม และนั่งนับวันรอให้ถึงวันนั้นอย่างใจจดใจจ่อ พอถึงรุ่งเช้าวันศุกร์ พัสดุชิ้นหนึ่งถูกส่งมาหาฉัน ภายในนั้นเป็นชุดราตรีสีดำยาวเปิดไหล่ที่มาพร้อมกับผ้าคลุมสีเดียวกันตัวกระโปรงจัดจีบลายคลื่นเป็นแนวยาวลงมาไม่แคบหรือบานเกินไป ส่วนช่วงตัวก็ถักทอด้วยลวดลายดอกสีทองอ่อนๆ อย่างประณีตด้วยเนื้อผ้าอย่างดี
“แบบที่คิดไว้เลย” ฉันเอ่ยกับตัวเองขึ้นมาหลังจากที่ได้เห็นชุดนี้ “นี่คือชุดแบบในฝันที่ฉันเคยคิดตั้งแต่สมัยเด็กว่าอยากลองใส่ออกงานดูสักครั้งหนึ่ง”
ฉันมาคิดย้อนไป นับตั้งแต่ที่รู้จักกัน ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามอบแก่ฉันจะต้องเป็นของที่ฉันชอบมากที่สุด จำเป็นมากที่สุด ต้องการมากที่สุด และตรงใจฉันที่สุดอย่างไม่มีบิดเบี้ยวไปจากอุดมคติของฉันเลยแม้แต่น้อยจนแม้แต่ครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งฉันจึงเดาได้ไม่ยากเลยที่เขาจะส่งชุดนี้มาให้กับฉัน ฉันจึงตอบรับน้ำใจเขาด้วยการแต่งหน้าทำผมให้ดีที่สุดให้เหมาะสมกับชุดที่เขาให้มานี้
พอถึงเวลาช่วงเย็นงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นที่ชั้นบนสุดของตึกที่ทำงานฉัน ที่เวลานี้ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้ที่ยิ่งสดใสเมื่อต้องแสงไฟสีขาวที่ติดไว้ทั่วห้องตรงกลางถูกจัดเตรียมไว้สำหรับแขกที่มาร่วมแสดงความยินดีพร้อมกับพนักงานต้อนรับอีกหลายสิบคน ตรงสุดหัวมุมเป็นเวทีที่มีดนตรีบรรเลงเพลงคลาสสิคอยู่ตลอดเวลา
เมื่อฉันมาถึงก้าวแรกที่เดินเข้ามาไฟทุกดวงในงานต่างพร้อมใจกันดับลง ก่อนที่แสงไฟจะส่องตรงลงมาที่ฉันจุดเดียว พร้อมกับคุณทรงชัย ประธานในพิธีกล่าวต้อนรับฉันบนเวทีและเชิญฉันกล่าวทักทายทุกคนที่มาร่วมยินดีกับการกลับเข้ามาทำงานของฉัน ทำให้สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องที่ฉันเป็นจุดเดียว
“สวัสดีค่ะทุกๆ ท่าน” ฉันกล่าวทักทายในขณะที่อยู่บนเวที “ฉันรู้สึกเป็นเกียรติและรู้สึกอยากขอบคุณทุกๆ ท่านในที่นี้ที่ได้มาร่วมแสดงความยินทีที่ฉันสามารถกลับมาเริ่มต้นทำงานได้อีกครั้ง หลังจากประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่”
“ในเวลานั้นชีวิตฉันมืดมนไปทุกๆ ด้าน ไร้เรี่ยวแรง ไร้พลังที่จะกลับมาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ฉันยอมรับว่าในเวลานั้นฉันท้อแท้และหมดหวังที่จะกลับมายืนในจุดนี้อีกครั้ง แต่เพราะแรงใจจากทุกส่วนที่เข้ามาทำให้ฉันสามารถฝันฝ่าช่วงเวลานั้นกลับขึ้นมาได้”
“และนอกจากนี้ฉันอยากจะกล่าวขอบคุณ เจ้านายที่แสนดีที่เข้าใจและให้โอกาสในยามที่ฉันไม่อาจทำอะไรได้เพื่อบริษัท เขาเป็นเจ้านายที่แสนดีที่ไม่คิดทอดทิ้งลูกน้องในยามที่สิ้นหวัง”
“ไม่มีคุณ บริษัทเราก็มืดมนเหมือนกันคีย์” คุณทรงชัยยกไมค์ขึ้นมาพูดตอบฉัน
“เหนืออื่นใด ยังมีคนๆ หนึ่ง คนที่แสนวิเศษที่คอยมอบกำลังใจและอยู่เคียงข้างฉันเสมอมา มอบทุกสิ่งที่ดีให้กับฉัน ยอมเหนื่อยเพื่อยืนเคียงข้างฉัน เขาเป็นคนที่ฉุดฉันขึ้นมาจากก้นเหว มอบแสงสว่างคืนมาให้กับฉัน ในวันนี้ไม่ว่าเขาจะอยู่ในงานนี้หรือไม่ ฉันก็อยากจะพูดคำๆ นี้ออกไปว่า ฉันซาบซึ้งและดีใจมากที่ชีวิตนี้ฉันได้รู้จักเขา ขอบคุณค่ะ”
พอเสียงของฉันเงียบลงเสียงปรบมือก็ดังขึ้นพร้อมๆ เสียงดนตรีที่บรรเลงเปิดงานเลี้ยงอย่างเป็นทางการ ฉันรีบลงจากเวทีแล้วกวาดสายตามองไปรอบๆ เพื่อมองหาคุณธีรเดช เพราะฉันมั่นใจว่าเขาจะต้องปรากฏตัวมาหาฉันอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ทันที่ฉันจะได้มองหรือเดินไปจนทั่ว ทั้งเพื่อนร่วมงานทั้งแขกทางธุรกิจต่างผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาทักทายสอบถามอาการฉันจนแทบจะไม่ได้ทำอะไร
กว่าสองชั่วโมงที่ผลัดเปลี่ยนกันไปแบบนี้จนฉันรู้สึกอ่อนล้าขึ้นมาทันใด พอสบโอกาสฉันจึงหาเวลาเดินหลบออกมาจากงานเพื่อเปลี่ยนอิริยาบถ ฉันเลือกที่จะออกมาหลบที่บนดาดฟ้าของตึก เพราะคิดว่าคงไม่มีใครตามหาเจอได้ เมื่อเปิดประตูเหล็กบานใหญ่ที่ชั้นดาดฟ้าออกมา สิ่งที่รอฉันอยู่เบื้องหน้า
กลับเป็นลานกว้างที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าสีขาวโรยด้วยกลีบกุหลาบสีแดง พร่างพรายไปด้วย ฟองสบู่หลากสีลูกเล็กๆ ที่ถูกเป่าออกมาจากอะไรบางอย่างลอยไปมา สะท้อนแสงสีเหลืองนวลที่ติดไว้กับรั้วดาดฟ้ารอบด้านและเมื่อฉันเงี่ยหูฟังดีๆ จะได้ยินเสียงดนตรีที่บรรเลงขับกล่อมเบาๆ ลอยตามสายลมอย่างสบายอารมณ์
ในระหว่างที่ฉันกำลังตกตะลึงที่ตนราวกลับหลุดมาอยู่ในวิมานฟ้าแดนสวรรค์อยู่นั้น เสียงเรียบๆ ของชายคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาอย่างนุ่มนวลว่า “หากไม่รังเกียจช่วยเต้นรำกับผมที่นี่สักเพลงได้ไหมครับ” ฉันรีบหันขวับไปตามเสียงที่ได้ยินและในที่สุดฉันก็ได้คนที่ฉันตามหามาตลอดงาน
คนๆ เดียวที่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ คุณธีรเดชนั่นเอง ที่วันนี้เขามาในชุดทักซิโด้สีดำที่เข้าคู่กับชุดของฉันอย่างกลมกลืน ทันทีที่ฉันได้ยินคำเชิญชวนของเขานั้นฉันไม่ได้ตอบตกลงทันที แต่ฉันค่อยๆเดินเข้าไปหาเขาอย่างช้าๆ สายตาก็จดจ้องอยู่ที่ใบหน้าเขาอย่างไม่ลดละ
ซึ่งแม้ว่าฉันจะไม่ได้ตกปากรับคำใดๆ ออกไป แต่เพียงแค่นั้นเขาก็คงทราบถึงสิ่งที่อยู่ในใจฉันดี เขาสืบเท้าเดินเข้ามาหาฉันก่อนจะใช้มือข้างซ้ายไพล่หลังยืนตัวตรงแล้วยื่นมือขวามาทางฉันพร้อมกับสายตาที่อ่อนโยนและรอยยิ้มที่อบอุ่น
ฉันราวกับถูกดึงดูดให้เดินเข้าไปและเอื้อมมือซ้ายเข้าไปสัมผัสกับมือขวาของและค่อยๆ ยิ้มตอบอย่างเขินอายก่อนที่เขาจะยกมือขึ้นเหนือศีรษะฉันแล้วม้วนให้ตัวฉันมายืนอยู่เบื้องหน้าเขาในสภาพหันหลัง จากนั้นเขาค่อยๆ ใช้มือซ้ายแตะตรงที่เอวให้สัมผัสน้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นอย่างระมัดระวัง
เป็นเวลาเดียวกันที่ดนตรีถูกบรรเลงให้ดังขึ้น เราทั้งสองจึงเริ่มค่อยๆ สืบเท้าไปตามจังหวะของดนตรีอย่างพร้อมเพรียง ราวกับใจสามารถสื่อถึงกันได้ ไม่จำเป็นต้องมีบทบาท ไม่จำเป็นที่จะต้องซักซ้อม ขอเพียงแค่คิดที่จะก้าวออกไปไม่ว่าทางไหนก็จะมีเขาคอยเดินไปกับฉัน
จนกระทั่งดนตรีบรรเลงจบเขาจึงค่อยๆ คลายมือออกก่อนจะเดินถอยหลังหลบออกมา แต่เป็นฉันที่รีบหันตามแล้วโผเข้าไปกอดซบหน้าไปที่อกของเขาอย่างไม่รีรอ “คุณนี่ขี้โกงจังเลยนะคะ รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับฉัน ทำทุกอย่างที่ฉันชอบแล้วยังมาทำให้ฉันคิดถึงคุณตลอดเวลา...”
ทันใดนั้นเองฉันก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่อ่อนนุ่มจากฝ่ามือของเขายกขึ้นมาลูบศีรษะของฉันเบาๆก่อนที่จะเอ่ยตามมาว่า “ที่ผมรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับคุณ เพราะผมใส่ใจใคร่ที่จะรู้ ที่ผมทำในทุกๆ สิ่งที่คุณชอบ เพราะผมปรารถนาให้คุณมีความสุข และที่ผมต้องทำทุกๆ อย่างไป เพราะผมนั้นรักคุณยิ่งกว่าใคร แม้ว่าจะอีกนานเท่าใด ไม่ว่าคุณจะเป็นยังไง ผมก็จะทำทุกสิ่งเพื่อคุณเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านไป”
ฉันถึงกับสะท้านไปทั่วร่างด้วยคำพูดของเขา ไม่ใช่เพราะถูกป้อยอด้วยคำหวาน หากแต่เพราะฉันสัมผัสได้ว่าคำพูดนั้นออกมาจากหัวใจของเขาอย่างแท้จริง ทำให้ฉันเลือกที่จะเชื่อในคำพูดทุกคำที่เขาเคยบอก เชื่อในการกระทำทุกอย่างที่เขาปฏิบัติต่อฉันมา และฉันเลือกที่จะเชื่อใจตัวเองว่าไม่ได้มองคนผิดไป
จากนั้นใจของฉันก็เปิดรับเขาเข้ามาอย่างหมดใจแฝงไว้ด้วยความใคร่รู้ถึงบางอย่างที่ยังสงสัยอยู่จึงได้เอ่ยถามออกไปทั้งที่ยังซบอยู่แบบนั้น “คุณมาจากอนาคตอีก17ปีข้างหน้าสินะคะ...”
“ใช่ครับ”
“เราทั้งสองคนทะเลาะกันบ่อยไหมคะ...”
“เราทั้งสองต่างเหมือนคู่ธรรมดาทั่วไป มีทั้งดีและร้ายผ่านเข้ามาในชีวิตคู่ บางครั้งก็สนิทสนมกลมเกลียวกัน แต่บางครั้งก็มีเวลาที่ไม่เข้าใจกันจนทะเลาะกันบ้าง”
“แล้วทำไม...เราถึงเลิกกันล่ะคะ”
เขาหยุดคิดไปชั่วครู่ ร่างกายก็เริ่มสั่นเทาเบาๆ “มันเป็นความผิดของผมเองครับ” เขาเริ่มกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทาแฝงไว้ด้วยความเศร้าอย่างจับใจ “เดิมที ฐานะของเราสองคนนั้นต่างกันมาก คุณมีงานการทำเป็นหลักแหล่งมั่นคง แต่ผมเป็นแค่นักศึกษาจบใหม่ยังหางานทำไม่ได้ ด้วยทิฐิของตัวเองที่ไม่อยากให้คุณต้องอายใครที่คบกับผม ผมจึงมุ่งมั่นทุ่มเทเวลาให้กับงาน จนหลงลืมไปว่าที่ผมทำไปทั้งหมดก็เพื่อคุณ”
“แต่ฉันเข้าใจคุณนะคะ ฉันเชื่อว่าทุกสิ่งที่คุณทำลงไปเพราะคุณหวังดีต่อฉัน” ฉันพยายามเอ่ยปลอบเขาเท่าที่จะทำได้ “ตัวฉันในเวลานั้นคงโง่มากที่ไม่เข้าใจคุณ”
“ไม่หรอกครับ เพราะผมไม่ได้พยายามทำให้คุณเข้าใจ ผมคิดแต่เพียงว่าถ้าผมมีงานดีๆ มีฐานะคุณคงจะมีความสุขซึ่งจริงๆ แล้วนั่นไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการเลยแม้แต่น้อย...คนที่ทำให้ทุกอย่างมันผิดพลาดไป ก็คือผมเอง”
“คุณทำดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ อย่าโทษตัวเองเลย” ฉันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเศร้าสลดในใจผ่านถ้อยคำที่เขาถ่ายทอดออกมา “ฉันในอีกสิบเจ็ดปีข้างหน้า... แก่แล้วสินะคะ”
“คุณยังดูสดใสไม่เปลี่ยนแปลงไปจากวันแรกที่เราได้พบกันครับ”
“แล้วฉันยังดื้อ หัวรั้น เอาแต่ใจ และปากไม่ตรงกับใจอยู่ไหม” ฉันถามต่อ
“นั่นคือเสน่ห์ของคุณที่ผมประทับใจ และมันยังคงยังตราตรึงใจผมอยู่จนถึงทุกวันนี้และตลอดไปครับ”
พอได้ฟังคำตอบของทุกคำถามที่เคยสงสัย ฉันแทบไม่รู้เลยว่าต้องถามอะไรเขาต่อไปอีกไหม มีอะไรที่ฉันอยากรู้อีกล่ะ เพราะยิ่งฉันได้รู้จักชายคนนี้มากเท่าไหร่ ฉันยิ่งรักเขามากขึ้น ฉันค่อยๆ แหงนมองหน้าของเขาชัดๆ และบอกกับตัวเองอย่างแน่ใจว่า “เขาคนนี้แหละคือคนที่ฉันสามารถไว้ใจและพร้อมที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขาไปจนกว่าจะสิ้นลม” จากนั้นฉันค่อยๆ หลับตาลงที่จะเพื่อมอบหลักฐานของความรักของฉันให้แก่เขา
เขาค่อยๆ เลื่อนมือมาโอบฉันไว้ให้ร่างกายของเราสองคนแนบชิดกันจากนั้นจึงค่อยๆ ย่อตัวลงมาประทับบางอย่างลงมาแตะริมฝีปากของฉัน พอฉันลืมตาขึ้นมามองอย่างสงสัยก็พบว่าเขายกนิ้วข้างหนึ่งขึ้นมากั้นระหว่างริมฝีปากของสองเราไว้
“คนที่ควรจะทำแบบนี้ไม่ใช่ผมหรอกครับ เวลาของผมมันได้หมดไปนานแล้ว” เขาเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ฉันลืมตา จากนั้นร่างกายของเขาก็เกิดบางอย่างขึ้น
จู่ๆ ตัวเขาก็เปล่งแสงสีขาวนวลคล้ายกับแสงจันทร์ออกมา ก่อนที่จะผละจากตัวฉันไปแล้วค่อยๆ ลอยขึ้นบนฟ้า “ยังมีอีกเรื่องที่ผมจะต้องบอกให้คุณทราบ” เขากล่าวออกมาในขณะที่ฉันยังคงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“ในเวลานั้น ตอนที่พวกเรามีปากเสียงกันจนถึงขั้นเลิกรากันไป ผมเอาแต่นั่งเสียใจกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แม้มันจะเริ่มจากจุดเล็กๆ ที่เรียกว่าความไม่เข้าใจ แต่ผมกลับไม่คิดที่จะพยายามขอคืนดีกับคุณ ผมกลับเข้าใจว่าเพราะสิ่งที่ผมตั้งใจทำนั้นยังไม่ดีพอ ผมจึงปิดตัวเองจากทุกสิ่งรอบด้านทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตให้กับงานด้วยความเชื่อโง่ๆ ที่ว่า ‘หากผมมีพร้อมทุกสิ่งที่คุณต้องการ คุณจะกลับมาหาผมเอง’ ผมใช้เวลาไม่นานสร้างบริษัท จนมีชื่อเสียงมีฐานะร่ำรวย แต่ถึงกระนั้นคุณก็ไม่ได้กลับมาตามที่ผมคาดหวังไว้ “จนอยู่มาวันหนึ่งผมได้รับจดหมายจากคุณส่งถึงผม ภายในเขียนเอาไว้ว่า”
‘ถึงคุณที่ฉันรักสุดหัวใจ
แท้จริงแล้วฉันไม่ได้โกรธอะไรคุณมากมายเลย เพียงแต่หวังจะให้คุณมาปลอบโยนเอาใจฉันเหมือนช่วงแรกที่เราคบหากัน แต่คุณก็ไม่กลับมา หันหน้าเข้าหางานอย่างเอาเป็นเอาตายจนฉันไม่รู้ว่าคุณโกรธหรือเกลียดฉันมากแค่ไหน จึงเลือกงานแทนฉัน ทว่าไม่ว่าคุณจะโกรธหรือเกลียดฉันมากขนาดไหน ฉันก็ยังรักคุณเสมอและหวังว่าสักวันคุณจะยกโทษให้แก่ฉันได้
รักคุณทุกลมหายใจ
คีย์’
“ทันทีที่อ่านจบ ผมดีใจมากรีบหาที่อยู่ของคุณเพื่อที่จะไปหาให้ไวที่สุด แต่มันก็สายเกินไป เพราะจดหมายฉบับนี้คุณได้ใช้แรงใจที่เหลืออยู่ทั้งหมดส่งถึงผมก่อนที่จะตรอมใจสิ้นลมไป ผมกลายเป็นคนที่ทำร้ายคุณทางอ้อม เพราะไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของคุณเลยจึงปล่อยให้คุณอยู่อย่างเดียวดาย แม้แต่ก่อนสิ้นใจผมยังไม่มีโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ๆ คุณ แต่คุณกลับห่วงว่าผมนั้นโกรธรึเกลียดคุณ จึงหวังจะให้ผมยกโทษให้ก่อนจากไป”
“นับแต่นั้นมาผมทิ้งงานธุรกิจมอบให้คนอื่นดูแล และได้แต่เฝ้าสวดภาวนาทุกเช้าเย็นต่อพระผู้เป็นเจ้าอย่างสำนึกในความผิดพลาดของตัวเอง ขอเพียงแค่สักครั้งที่ผมได้มีโอกาสได้เจอกับคุณ ผมจะทำทุกอย่างให้คุณมีความสุข จะปกป้องคุณจากทุกสิ่งที่เข้ามาทำร้าย ไม่ว่าจะลำบากลำบนรึเหนื่อยยากเพียงใด ผมก็พร้อมที่จะทำ”
“ไม่นานนักความรู้สึกผิดที่มีต่อคุณก็กัดกินใจของผมจนทรุดโทรมลง ทว่าทันใดนั้นเองที่ปาฏิหาริย์ได้เกิดขึ้นเมื่อลมหายใจสุดท้ายของผมหมดลง ผมได้พบกับแสงสว่างที่ทอดผ่านเป็นทางเดินให้ผมข้ามมาพร้อมกับเสียงกระซิบเบาๆ อย่างเมตตาจากสวรรค์ว่า ‘เราจะให้เวลาเจ้าอีกเล็กน้อย จงใช้มันเพื่อคนที่เจ้ารักอย่างทะนุถนอมเถิด เมื่อถึงเวลาเราจะกลับมารับเจ้าอีกครั้ง’ และนั่นก็คือเวลานี้เอง”
ฉันรับฟังเรื่องที่เขาเล่ามาอย่างตั้งใจ แต่มิอาจจะยอมรับได้เพราะฉันพึ่งจะมอบหัวใจให้แก่เขาไป พึ่งคิดที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเขา พึ่งคิดถึงอนาคตชั่วชีวิตไป แต่จู่ๆ กลับกลายเป็นต้องจากลากันไปอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันจึงสุดที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ ก่อนที่จะพยายามเอ่ยปากฉุดรั้งเขาไว้อย่างอาลัย
“ไม่ไป...ไมได้เหรอคะ...แล้วต่อจากนี้ฉันจะอยู่ยังไง ฉันขาดคุณไม่ได้หรอกนะ....”
เขาค่อยๆ ยิ้มละไมเช่นทุกครั้งในระหว่างที่มองลงมาแล้วเอ่ยตอบฉันอย่างนุ่มนวลว่า “หากคุณเชื่อในตัวผมและหวังอยากที่จะได้เจอกันอีกครั้ง ช่วยทำอะไรเพื่อผมสักหน่อยได้ไหมครับ” พร้อมกันนั้นที่ตัวเขาค่อยๆ ลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า
“ได้...ค่ะ ถ้าแค่ไม่ให้คุณจากฉันไปไม่ว่าจะทำอะไรฉันก็ยินดี”
“หากวันใดวันหนึ่ง คุณได้พบกับหนุ่มน้อยที่ไม่ประสีประสาต่อโลก รู้เฉพาะสิ่งที่อยู่ในตำรา อ่อนแอและอ่อนไหวกับเรื่องต่างๆ ถึงเวลานั้นขอให้คุณช่วยอบรมสั่งสอน ว่ากล่าวตักเตือนเขาเท่าที่จะทำให้เขาเติบโตขึ้นเป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่งได้ไหมครับ”
“ได้...ค่ะ...ฉันยินดี” ฉันตอบรับไปทั้งน้ำตา
“หากหนุ่มน้อยคนนั้นในบางเวลา เขาอาจจะทำอะไรที่โง่เขลา เจ้าอารมณ์รึทำอะไรที่ทำให้คุณต้องโกรธ จนยากที่จะอภัยเขาได้ ขอให้คุณรู้ว่าสิ่งเหล่านั้นเขาทำไปเพราะรักคุณ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรคุณถึงจะมีความสุขจนบางครั้งผลมันออกมาตรงกันข้าม เพราะคุณคือคนที่เขารักยิ่งกว่าใคร คุณจะเชื่อเขาตามที่ผมบอกมาได้ไหมครับ”
“ฉันเชื่อในทุกๆ คำพูดของคุณค่ะ....”
“และสุดท้าย อยากให้คุณรู้ว่าหนุ่มน้อยคนนั้น นับจากวันแรกที่ได้พบกับคุณ เขาก็หลงรักคุณอย่างถอนตัวไม่ขึ้นทุกวินาที แม้จะสิ้นลมหายใจ วิญญาณเขาก็ยังรักคุณชั่วนิรันดร”
จากนั้นตัวเขาก็ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยแสงสีขาวจากฟากฟ้าแล้วค่อยๆ เลือนหายไปเหลือทิ้งไว้เพียงภาพแห่งรอยยิ้มสุดท้ายก่อนจากไปและความทรงจำที่ผ่านมา ทุกอย่างล้วนเป็นความทรงจำที่มีค่าสำหรับฉันทั้งในวันนี้และตลอดไป
แต่ถึงกระนั้นฉันยังไม่อาจทำใจที่สูญเสียคนสำคัญไปต่อหน้าอย่างที่ตัวเองไม่อาจจะทำอะไรได้นอกจากรับปากคำสั่งเสียของเขา และใช้เวลาอยู่กับตัวเองร้องไห้เท่าที่จะทำได้ จนฉันไม่รู้ว่ารอบข้างเวลาผ่านไปเท่าใด แต่น้ำตาของฉันก็ยังไม่ยอมหยุดที่จะไหล ความเศร้าในใจก็ไม่จางลง
จนมีใครบางคนเดินขึ้นมาพบแล้วเอ่ยถามฉันอย่างตกใจว่า “คุณเป็นอะไรรึเปล่าครับ” พร้อมกับเดินเข้ามาใกล้อย่างร้อนรนจนฉันรีบตอบปฏิเสธกลับไปด้วยน้ำเสียงสั่นสะอื้นที่ยังไม่เข้าที่ว่า “มะ...ไม่มีอะไรค่ะ” จากนั้นฉันพยายามที่จะลุกเดินก้มหน้าหนีไปเพราะไม่อยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองเพื่อจะคิดถึงคุณธีรเดชให้มากที่สุด
แต่ก็ต้องมาสะดุดกับผ้าเช็ดหน้าที่เขาคนนั้นยื่นออกมาให้ “ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่อย่างน้อยๆ ใช้นี่ซับน้ำตาของคุณเถอะนะครับ” ฉันจึงจำใจรับมาเพื่อรักษาน้ำใจอีกฝ่าย ระหว่างที่ซับน้ำตาก็เหลือบไปเห็น
ชุดบริกรในงานจึงคิดว่าคงมาตรวจดูความเรียบร้อยเท่านั้น
พอซับเสร็จฉันจึงยื่นผ้าเช็ดหน้าส่งคืนให้กับเขา แต่เมื่อฉันเงยหน้าขึ้นมามองหน้าเขาชัดๆ น้ำตาของฉันก็ร่วงเป็นสายอีกครั้ง เพราะใบหน้าของเขาละม้ายคล้ายกับใครบางคนที่ฉันรู้จัก
“อ้าวจู่ๆ เป็นอะไรไปอีกแล้วครับ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” ชายหนุ่มเอ่ยถามอย่างเป็นกังวล
“เปล่าหรอกค่ะ ฉันสบายดี แค่ดีใจมากไปหน่อยจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง ไม่ทราบว่าคุณชื่ออะไรเหรอคะ”
“ผม ธีรเดชครับ”
End
--------------------------------------------------------------------------------------------------------
ภาพประกอบ "แรกพบ"
ผลงานอื่นๆ ของ ryuone ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ryuone
ความคิดเห็น